เปิดใจ 5 ตัวประกันคนไทย ที่ได้รับการปล่อยตัวจากกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 30 ม.ค.68 และได้รับการดูแลรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทลอาวีฟ โดยรัฐบาลอิสราเอล มีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ได้มาเยี่ยมและให้กำลังใจคนไทยทั้ง 5 คน
นายบรรณวัชร แซ่ท้าว เล่าว่า ในขณะตกเป็นตัวประกันก็ไม่ได้อยู่ดี แต่สุขภาพไม่ได้แย่มาก ก็พอกินได้ และแน่นอนว่าอยากกลับบ้าน
"เราจากบ้านมานาน คิดถึงครอบครัว ได้ออกมาแล้วในใจโล่งขึ้นเยอะ สบายใจมาก อยู่ที่นู่นไม่รู้จะได้กลับมาบ้านจริงไหม คิดอยู่ตลอดว่าเวลาเขาออกมา เขาจะทำอะไรเราไหม แต่เขาปลอบใจเรา ว่าไม่ทำอะไรเรา เป็นห่วงเราบ้าง ถามว่าจะกินอาหารเขาได้ไหม ซึ่งเราก็ต้องกินเพื่อให้อยู่ได้" นายบรรณวัชร เล่า
นายบรรณวัชร กล่าวว่า พวกเขาอยู่ด้วยกัน 3 คน จึงพอจะได้พูดคุยเป็นกำลังใจกันได้ และช่วยกันเป็นกำลังใจว่าสักวันหนึ่งเราจะได้กลับบ้านอย่างแน่นอน
นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา เปิดเผยว่ารู้สึกดีมากที่ได้มานั่งตรงนี้ สุขภาพรวม ๆ ตอนนี้ถือว่าดี ตนเองบ้านอยู่บุรีรัมย์ ได้คุยกับที่บ้านเขาดีใจที่ได้ออกมาอย่างปลอดภัย ออกมาแล้วทานอาหารปกติ ได้กินอาหารไทยมื้อแรก อร่อยมาก เมื่อคืนได้กิน ไก่ ส้มตำ ซูชิ ก็ดีใจ
"ที่ผ่านมากินอาหารบ้านเขา เช่น แป้ง ซีส ถั่วที่กินกัน ถามว่าอิ่มไหม พออยู่ได้ ลำบากมากกับเรื่องความเป็นอยู่ แต่มาถึงวันนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เหมือนได้ชีวิตใหม่ รู้สึกดีใจมาก ขอแค่ได้มีชีวิตออกมาผมโอเคแล้ว" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า มีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาช่วยได้ออกมาปลอดภัย ตลอดเวลาตนเองคิดถึงหน้าลูกไว้ก่อน คิดถึงลูก คิดถึงครอบครัวมาก สิ่งที่เป็นกำลังใจคืออยากเจอลูกสาว อายุ 15 ปี อยากกลับบ้านไปเจอตัวจริง เพราะไม่ได้เจอลูกมากว่า 7 ปีแล้ว ตั้งแต่ลูกสาวอายุ 7 ขวบ
นายพงษ์ศักดิ์ เล่าว่า ตนอยู่คนละแคมป์กับนายบรรณวัชร แต่ขึ้นรถคันเดียวกัน เขาจะแยกไปอยู่คนละที่ ตลอดเวลา 1 ปี ไม่เคยเจอกัน ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงดาว เราไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกเลย มีแค่แสงลอดผ่านกระจกเข้ามา อยู่ในสภาพห้องสี่เหลี่ยม ทางกลุ่มฮามาสจะอาหารมาให้ ส่วนการอาบน้ำ 4-5 วันให้อาบครั้งหนึ่ง ก็พอจะอยู่ได้
นายวัชระ ศรีอ้วน ดีใจที่ได้ออกมา ตลอดเวลามีความหวังว่า ต้องได้ออกไป คิดว่าทุกคนต้องมาช่วยเหลือเรา ตนเองมีลูกสาวเป็นกำลังใจ อยากออกมาหาพ่อแม่ กลับบ้านไปอยากเจอลูกสาวและครอบครัวอยากมีเวลาพักผ่อนกับครอบครัว
ตัวประกันทั้ง 5 คน ยอมรับว่าตลอดเวลาที่ถูกควบคุมตัวก็พยายามดูแลตัวเอง ทานอาหารที่ถูกจัดมาให้ทำให้ไม่ซูบผอม และดีใจที่ได้ทานอาหารไทยและหวังจะได้กลับไปทานอาหารที่บ้านกับครอบครัว
ขณะที่ นายสุรศักดิ์ ลำเนา ก็ดีใจที่ได้โทรศัพท์คุยกับพ่อแม่แล้ว ตนรอวันนี้มานาน พยายามนอนไม่คิดอะไรมาก ตนเองไม่มีภรรยา ไม่มีลูก อาจเป็นข้อดีข้อหนึ่ง
"ผมไม่ท้อ มั่นใจว่าต้องมีความพยายามช่วยให้ได้ ถ้าเราไม่ขัดขืน ทำตามคำสั่ง ก็ไม่เป็นอะไร ก็ปกติคุยกันพอรู้เรื่อง ไม่ได้ท้อ ส่วนตัวคิดว่ากำลังใจเป็นเรื่องสำคัญคิดเรื่องดีๆ อะไรที่พอมีกำลังใจก็คิดไป" นายสมศักดิ์ กล่าว
นาย เสถียร สุวรรณคำ ก็ดีใจที่จะได้กลับประเทศไทย ตลอดกว่า 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และมีเวลาที่ท้อบ้าง แต่พวกเราก็คุยกัน คิดว่าคงได้ออกมาสักวันหนึ่ง
"ถ้าถามว่า อยากกินอะไรมากที่สุดตอนนี้ น่าจะเป็นพวลาบ ต้มแซ่บ ซอยจุ๊ อะไรแบบนี้ครับ" นายเสถียร และนายสมศักดิ์ ตอบมาพร้อมกัน
ด้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมด้วยนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเอกอัครราชทูต พรรณนภา จันทรารมย์ ได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานไทยที่นิคมเกษตรกรรม Moshav Bnei Atarot ในกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ได้เดินทางมาที่อิสราเอล เพื่อมาเยี่ยมตัวประกันคนไทยที่ได้รับการปล่อยตัวมาแล้ว ซึ่งทุกกคนคงจะได้รับทราบข่าวดีนี้แล้วว่าเพื่อนของเราปลอดภัยแล้ว จึงอยากมาเยี่ยมแรงงานไทย ที่ตนขอเรียกว่า เกษตรกร เพราะพวกคุณทำงานที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณค่ากับประเทศของเรา และประเทศอิสราเอง ก็ชื่นชมการทำงานของคนไทย จึงอยากมาสอบถามและรับฟังความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกคน แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงมีการหยุดยิง แต่ขออย่าประมาท ขอให้ดูแลกัน สามัคคีกัน
" อย่าประมาท ดูแลกันและกัน ต้องช่วยกันเพราะครอบครัวมาไม่ได้ และอยากให้เชื่อฟังสถานทูต เวลาเตือนอะไร แม้สถานการณ์จะคลี่คลายอยู่ในช่วงการหยุดยิงเป็นสัญญานที่ดีในทางปฏิบัติอย่าประมาท ความสำคัญของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อครอบครัวมาไม่ได้อยู่ด้วย อยากเห็นเพื่อนดูแลกันและกัน ความสามัคคี เป็นสิ่งสำคัญ คนไทยรักกัน มีความสุขดูแลกัน"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เล่าถึงตัวประกันทั้ง 5 คน ก็ได้ช่วยกันดูแล เพราะมี 3 คนถูกจับไปอยู่ด้วยกัน อีกสองคนอยู่ด้วยกันจึงมีเพื่อน บางคนไม่ได้เจอครอบครัวในรอบ 7 ปี ก็อยากให้พวกเขาได้เจอครอบครัวโดยเร็ว
"สำหรับผมเชื่อว่าครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดของแต่ละคน จึงอยากให้ทุกคนเชื่อฟังคำเตือน อยากให้ทุกคนซ้อมเข้าหลุมหลบภัยอยู่เสมอ อย่าประมาทครับ"
นามาริษ ยังได้คุยกับเจ้าของฟาร์มเกษตร ซึ่งเป็นนายจ้าง เล่าให้ฟังว่า เกษตรกรไทยที่ทำงานที่นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขา ได้ใช้ความเป็นมืออาชีพได้ใช้ความสามารถทางการเกษตรมาทำงานที่นี่ นายจ้างจึงขอขอบคุณรัฐบาลไทย ไปถึงนายกรัฐมนตรี สิ่งที่รัฐบาลสนับสนุนเกษตรกร ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
"เกษตรกรที่มาได้รับรายได้ที่ดีในขณะเดียวกัน อิสราเอลได้ผลผลิตที่มั่นคง เติบโตทางการเกษตรด้วยกัน ทางนายจ้างก็อยากให้ความร่วมมือการเกษตรไทยอิสราเอลก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไทยเราพร้อมช่วยเหลือในเรื่องเกษตรกรเราเป็นประเทศมีความสามารถด้านเกษตรกรรม สิ่งที่เขาใช้เทคโนโลยีความรู้ ให้นำเอาไปใช้ที่ไทยได้ เขายินดีสนับสนุน ให้เกษตรกรได้เป็นเกษตรกรทียั่งยืน" นายมาริษ กล่าวย้ำ
สำหรับแรงงานไทยในอิสราเอล ได้กลับมาทำงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนกว่า 38,000 คน จากเดิมมีประมาณเกือบ 30,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงยังเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อความไม่ประมาท
ขณะที่ นายจ้างกล่าวกับนายมาริษด้วยว่า ขอบคุณรัฐบาลไทย ที่สนับสนุนแรงงานมาไทยมาทำงานที่อิสราเอล จึงอยากตอบแทนประเทศไทยที่ใช้ความรู้ความสามารถของเขาในการร่วมพัฒนาการเกษตรของไทยด้วย