หลังอดีตนายกฯ ปฏิเสธ “ไม่ปลด - ไม่ปรับ” สอดคล้องกับกระเเสข่าวที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ “นายใหญ่ไม่กล้าเสี่ยง” เพราะ
1.ไม่พร้อมเปิดศึกกับ “อนุรักษ์นิยม” โดยเฉพาะขั้ว “ชนชั้นนำ” ที่มีพลังแฝงเยอะ และกำลังปั่นกระแส คุณพีระพันธุ์ ให้เฉิดฉายเป็น “ผู้นำใหม่ค่ายอนุรักษ์นิยม”
2.น่าจะยังสามารถเคลียร์กับกลุ่มทุนพลังงานได้
3.พรรครวมไทยสร้างชาติมีกลุ่มทุนใหม่เข้ารับภารกิจต่อแล้ว แม้จะไม่ฟู่ฟ่าเหมือนเก่า โดยข่าวว่าน้ำหนักการดูแลหากเทียบกันกับกลุ่มเดิม จะอยู่ราวๆ 50%
แต่พรรคก็ยังไม่แตก และเมื่อพรรคไม่แตก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการแบบ “พลังประชารัฐ” คือผ่าเป็นสองซีก แล้วดึง สส.ส่วนหนึ่งไว้กับรัฐบาล
4.คุณพีระพันธุ์ พยายามปรับตัว ซื้อใจลูกพรรค วันที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด “สส.ลูกช้าง” สุพล จุลใส ที่ชุมพร โดยจังหวัดชุมพร มี 3 เขตเลือกตั้ง ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติชนะยกจังหวัด ในการเลือกตั้งปี 66
หากพรรครวมไทยสร้างชาติยังเป็นปึกแผ่น แล้วมีการปรับหัวหน้าพรรคออกจากตำแหน่ง หรือเขี่ยพรรคออกจากการร่วมรัฐบาล จะทำให้เสียงสนับสนุนรัฐบาลหายไปถึง 36 เสียง
ซึ่งหาเติมตอนนี้ไม่ได้แล้ว เนื่องจากฝ่ายค้านเหลือพรรคหลักพรรคเดียว คือพรรคประชาชน ยกเว้นรอจังหวะ สส.พรรคประชาชนหายไปอีก 20-30 เสียงจากคดีมาตรฐานจริยธรรมใน ป.ป.ช. (เสนอแก้กฎหมาย มาตรา 112)
(แฟ้มภาพ)
5.มีภารกิจสำคัญรออยู่ คือ การพาอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์กลับบ้าน ฉะนั้นคุณทักษิณจึงต้องทำให้สถานการณ์นิ่งที่สุด จะได้ไม่กระทบกับแผนใหญ่ที่วางไว้
และหากคุณทักษิณดึงดันไป อาจถูกจับโยงว่าเป็นการเปิดศึกกับ “ลุงตู่” ซึ่งยังมีแฟนคลับจำนวนมาก และสถานะวันนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงอันตรายหากมีข่าวถูกจับชนกันกับ “ลุงตู่”
(แฟ้มภาพ)
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์จ๊ะ - ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเมืองและนโยบาย ในฐานะ “นักวิเคราะห์การเมืองชื่อดัง” ซึ่งออกมาฟันธงก่อนหน้านี้ว่า “นายใหญ่ไม่กล้าปรับคุณพีระพันธุ์”
โดยอาจารย์จ๊ะ - ธนพร ศรียากูล กล่าวว่า
ไม่มีความจำเป็นที่ “นายใหญ่” ต้องแตกหักกับค่ายอนุรักษ์นิยมในตอนนี้ ส่วนความขัดแย้งที่มีชนวนจากกลุ่มทุนนั้น มีข่าวว่า “นายใหญ่” ไปเคลียร์ปัญหากันมาแล้ว และขอให้อยู่กันไปแบบนี้ก่อน หากทำอะไรมากไป ภัยอาจมาถึงตัวได้
ขณะเดียวกัน หาก “นายใหญ่” เดินเกมแรง อาจกระทบกับ “โครงการพาน้องกลับบ้าน” ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของคุณทักษิณ และปักหมุดไว้ช่วงสงกรานต์ปีนี้ ฉะนั้นทุกอย่างจึงผิดพลาดไม่ได้ ในขณะที่ภาพนายกฯแพทองธาร เข้าพบประธานองคมนตรี ก็อธิบายทุกอย่างในทางการเมือง ฉะนั้นปี 68 ก็จะอยู่กันไปแบบนี้ ไม่มีอะไรในกอไผ่
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น อาจารย์ธนพร กล่าวว่า จะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องรีบปรับตอนนี้ การปรับน่าจะเกิดขึ้นหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ เข้าทำนอง “ยืมปากส้มด่ารัฐมนตรี” เพื่อหาเหตุเปลี่ยนตัวนั่นเอง
อาจารย์ธนพร ยังตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า หากพิจารณาจากการขึ้นเวทีปราศรัย เป็นผู้ช่วยหาเสียงนายก อบจ. จะพบว่าแม้หลายจังหวัดจะมี “แค้นฝังหุ่น” เช่นที่เชียงราย โดยเป้าหมายบดขยี้คือ “ภูมิใจไทย” แต่ “นายใหญ่” กลับไม่ได้เล่นแรง หรือโจมตีภูมิใจไทยแบบเปิดหน้าชน
ผิดกับ “พรรคส้ม” ซึ่ง “นายใหญ่” จัดหนักทุกเม็ด แบบไม่มีเกรงใจ และวันนี้ที่พูดถึง “คนรุ่นเก่า” ที่โจมตีตนเอง นัยก็ส่งถึง “นักการเมืองรุ่นลายคราม” ที่เพิ่งออกมาสะบัดมีดโกนก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
สะท้อนว่า “นายใหญ่” เลือกเปิดศึกกับบางคน บางพรรคที่ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น ส่วนอีกบางพรรค ยังรักษาไมตรีไว้ จึงทำให้พอมองเห็นภาพการเมืองปี 68 ว่า จะประคองกันไปแบบนี้ แบบเดิม ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม