อดีตสว.วันชัย ให้ข้อคิดนายกฯ ปรับลุค-พัฒนาตัวเองเรียกศรัทธาเบบี้บูมเมอร์

นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ฝากข้อคิดถึงส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ในปี 2568 ยุคนายกน Gen Y สิ่งที่คนไทยอยากเห็นนายกรัฐมนตรีในปีหน้า เพื่อลบข้อครหา “คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง” ว่า จะต้องปรับบุคลิก เสื้อผ้าหน้าผมให้ถูกกาละเทศะ แสดงกึ๋น การพูดจาให้ฉะฉาน ทำงานให้ได้ไม่แพ้คนรุ่นแก่ รุ่นเก่า และให้ดีกว่านายกรัฐมนตรีคนเก่า ๆ อย่าให้ถูกดูแคลนว่า เด็กรุ่น Gen X หรือ Gen Y เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วไม่รู้เรื่อง บริหารไม่เป็น และไม่ต้องการให้คนแก่รุ่น Baby boomers ที่ไม่ชอบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาค่อนแคะค่อนขอด ทั้ง ๆ ที่คนรุ่นนี้บางคนบางพวก ตกยุคตกสมัยไปแล้ว และในสมองมีแต่เรื่องเก่า ๆ เล่าความหลังขุดอดีตทั้งวัน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จะต้องอย่าให้คนพวกนี้บ่นต่อไปได้ ต้องปรับตัวเพื่อให้เป็นผู้นำ เป็นที่ยอมรับของคนทุกรุ่น ทุก Gen พูดจาฉะฉานเด็ดขาด แสดงถึงความรู้ความสามารถที่ออกมาจากสมองของตน มีการเตรียมตัวเตรียมการในทุกครั้งทุกโอกาส ไม่ควรจะพลาดและหลุดเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

นายวันชัย ยังแนะนำว่า นายกรัฐมนตรี ต้องพัฒนาตนเองให้คนยอมรับเหมือนนายกรัฐมนตรีของต่างประเทศ เพราะแม้ในหลายประเทศ ยังมีนายกรัฐมนตรีรุ่นราวคราวเดียวกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร แต่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ ไม่มีใครมาตำหนิติเตียนเหมือนนายกรัฐมนตรีไทย ดังนั้น นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ต้องก้าวข้ามเรื่องนี้ให้ได้ ต้องมีบารมี มีภาวะผู้นำ แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ต้องเป็นให้ได้ และยิ่งมีพ่อเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอยู่ใกล้ ๆ ต้องเสริมส่งให้ได้ แต่ในปีนี้ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ยังเล่นไม่สมบทบาท ดังนั้น ในปีใหม่นี้ต้องตีบทนี้ให้แตก ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีให้คนเกรงใจ

นายวันชัย ยังย้ำว่า เสื้อผ้าหน้าผมของคนรุ่น Gen X และ Gen Y อาจจะไม่เหมือนคนรุ่นแก่รุ่นเก่า แต่อย่าลืมว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกรุ่น, ทุก Gen ควรจัดการให้พอดีพอเหมาะ อย่าให้ถูกว่าไม่รู้จักกาลเทศะได้ เพราะคนรุ่น Baby boomers 0tไม่อินด้วย

นายวันชัย ยังเห็นว่า คนรุ่นเก่าก็ควรให้โอกาส นายกรัฐมนตรีคนรุ่นใหม่ อย่ามัวแต่บูลลี่ หรือมี Ego สูง และดูแคลนคนอาวุโสน้อยกว่า และนางสาวแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่อายุน้อยที่สุด ถือว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ อย่าให้ถูกว่าได้ว่า “คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง” มันจึงเป็นอย่างนี้