นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ One-on-One ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 โดยมี CEO จากต่างประเทศเข้าร่วมงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
โดยนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่างชาติว่า การลงทุนกับประเทศไทยในขณะนี้ มีความสำคัญมาก เพราะประเทศไทยต้องการมีแหล่งรายได้ใหม่ ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วางแผนเชิญนักลงทุนมาในประเทศไทย ทั้ง Google และ Microsoft ที่จะเดินทางมาลงทุนในประเทศ และในเดือนแรกที่ตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีนักลงทุนตั้งคำถามต่อการลงทุนในประเทศไทย เพราะยังสงสัยในนโยบายรัฐบาล แต่นายเศรษฐาอยู่กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเดียวกับตน จึงยืนยันว่า ตนจะยังคงดำเนินนโยบายเดียวกัน และขอให้นักลงทุนมั่นใจ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย โดยได้ร้องขอให้ผู้ลงทุนต่างชาติได้มีการจัดฝึกอบรมภาษาไทย เพื่อให้คนไทยด้วย และตนเองก็ตั้งใจปรับปรุงการศึกษาไทย และทักษะภาษาให้กับนักเรียนให้ดียิ่งขึ้นควบคู่ไปด้วย เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเติบโตล่าช้า จึงจะต้องพัฒนาหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน
นายกรัฐมนตรี ยังเล่าว่า จากการไปร่วมประชุมต่างประเทศของตนเอง ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้นำต่างชาติ และผู้นำเอกชนต่างประเทศ ที่ต่างแสดงความตื่นเต้นที่จะลงทุนในประเทศไทย จึงยืนยันว่า รัฐบาสนับสนุนการลงทุนเต็มที่ และเสถียรภาพการเมืองต่อการลงทุน และความสะดวกต่าง ๆ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยแน่นอน พร้อมขอให้ประชาชน นักลงทุนในประเทศ และนอกประเทศเชื่อมันต่อรัฐบาล ที่จะสนับสนุนการทำธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ ก็ประกอบธุรกิจ SMEs รัฐบาลก็มีนโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้นสำหรับคนไทยและผู้ประกอบอาชีพ
นายกรัฐมนตรี ยังเล่าด้วยว่า ในการไปประชุมต่างประเทศ ซึ่งตนพยายามจะสื่อสารในมุมธุรกิจดึงดูดการลงทุน แต่มักเจอคำถามว่า คุณพ่อ หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรบ้าง หรือ คุณอา หรือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างไรบ้าง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศว่า รัฐบาลจะต้องผลักดันทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน เพราะการแก้ไขปัญหาเรื่องเดียวไม่สามารถทำได้ รวมถึงยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการแก้ปัญหา เช่น การพักหนี้เกษตรกร การแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายเงินในประเทศ รวมถึงยังมีแผนที่จะแจกเงินให้กับประชาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพื่อให้เศรษฐกิจสะพัด เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี ยังชูจุดแข็งของประเทศไทยสำหรับการลงทุนว่า ประเทศไทย มีที่ตั้งกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน และยังมีพื้นที่ทางการเกษตรที่เข้มแข็ง มีความสงบ สามารถเป็นแหล่งผลิตอาหารได้ ดังนั้น จึงมีความพร้อมในการส่งออก และรัฐบาล ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ มาพัฒนาคุณภาพอาหาร เพื่อให้สามารถถนอมคุณภาพเพื่อส่งออกได้ ซึ่งตนก็ได้นำเสนอจุดแข็งกับผู้นำหลาย ๆ ประเทศ จึงมั่นใจว่า ประเทศไทยมีความสงบ และความพร้อมแล้ว ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีมากในการมาลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนั้น ในคุณภาพของหัตถกรรม แรงงานไทนก็มีฝีมือ ซึ่งก่อนที่ตนเองจะเป็นนายกรัฐมนตรี ตนให้ความสนใจเรื่องดังกล่าวตั้งแต่การหาเสียง และได้ไปพบกับชุมชนต่าง ๆ ที่ทำงานเยอะมาก แต่กลับได้เงินนิดเดียว ตนจึงตั้งใจจะพัฒนา และแก้ไขปัญหานี้ เพราะงานหัตถกรรมประเทศฝรั่งเศส สามารถสร้างรายได้ได้เยอะมาก จึงเห็นว่า แรงงานฝีมือในไทย จะต้องได้รับการผลักดัน เพื่อเพิ่มมูลค่า ทั้งการทอผ้า พิมพ์ผ้า และอยากให้โลกให้เห็นว่า คนไทยมีพรสวรรค์ ซึ่งตนก็พร้อมผลักดัน
ส่วนกรณีที่นายโดนัล ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมมาตรการ และนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไป รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์กับประเทศจีนนั้น นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนเองได้กล่าวกับผู้แทนของสหรัฐอเมริกา และจีนว่า ประเทศไทยได้นำเสนอตนเองเป็นทูตสันติภาพ และความมั่งคัง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น ตนเชื่อว่า จะมีการเปลี่ยนภาพของการส่งออก ซึ่งไทยจะต้องมีการปรับตัวในนโยบาย และทำให้คนไทยเข้าใจกับนโยบายของทรัมป์ รวมถึงยังรับทราบความกังวลของประชาชน แต่ยืนยันว่า รัฐบาลได้มีการเตรียมตัวไว้แล้ว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงผลลัพธ์การลงทุนกับประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า ประเทศไทย มีความพร้อมกับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักธุรกิจในอนาคตทั้ง Data Center และ Semi Connector และประกาศกับโลกว่า ประเทศไทยในตอนนี้พร้อมแล้ว มีความนิ่งแล้ว และสงบสุขแล้ว และเชื่อว่า ทุกคนต้องการเห็นความก้าวหน้าในระยะยาว และในอีก 5 ปีข้างหน้าผู้คนก็จะหนีจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้ โดยรัฐบาลมีการวางแผนไว้ 10 ปีว่า จะต้องสร้างรากฐานไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล หรือเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ก็หวังให้นโยบายยึดมั่นกับประชาชน และประโยชน์จะต้องอยู่กับประชาชนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ 20 ปีที่แล้วเริ่มดำเนินการ แต่ปัจจุบันก็ยังมีนโยบายนี้อยู่ ซึ่งตนไม่อยากให้ประโยชน์ในนโยบายหมดไปกับรัฐบาล ที่หมดชุดหนึ่งนโยบายก็จบ ตนอยากจะสร้างรากฐานเข้าไปในนโยบายให้ยาวตลอดไป และตนมั่นใจว่า จะเห็นได้อย่างแน่นอน