นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำ ในสถานะวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ว่า ขณะนี้ปริมาณฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ลดน้อยลงแล้ว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง ที่สถานีวัดน้ำ P.1 สะพานนวรัฐ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ลดต่ำกว่าตลิ่งแล้ว ประมาณ 93 เซนติเมตร และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากไม่มีฝนตกหนักลงมาเพิ่ม คาดการณ์ว่า ภายใน 1-2 วัน สถานการณ์น้ำท่วมขังในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนพื้นที่รอบนอก คาดว่า จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2 สัปดาห์
เอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง)
เช่นเดียวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดลำพูน ที่นายเอกภาพ ระบุว่า ล่าสุดระดับในแม่น้ำปิง มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการชลประทานลำพูน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เร่งบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ด้วยการนำเครื่องสูบน้ำ เข้าไปติดตั้งตามประตูระบายน้ำต่าง ๆ ในตัวเมืองลำพูน อาทิ ประตูระบายน้ำปิงห่าง ประตูระบายน้ำร่องกาศ ประตูระบายน้ำปลายเหมือง ฝายชลขันธ์พินิจ (แม่ปิงเก่า) และประตูระบายน้ำล้องพระปวน พร้อมติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำที่ ประตูระบายน้ำสบทา เพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ลงสู่แม่น้ำปิงให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งหากไม่มีฝนตกหนัก และไม่มีน้ำจากพื้นที่ตอนบนไหลลงมาเพิ่ม คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์ สถานการณ์น้ำท่วมเมืองลำพูน จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายเอกภาพ ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า ปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำสะสมจากทางตอนบน ไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้ (10 ต.ค.) สถานี C2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,338 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งอยู่ 2.10 เมตร และสถานี C13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,179 ลูกบาศก์เมตร/วินาที มีแนวโน้มลดลง ระดับน้ำท้ายเขื่อนต่ำกว่าตลิ่งอยู่ 1.29 เมตร
ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นั้น นายเอกภาพ ระบุว่า ได้วางแผนปรับลดการระบายน้ำลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือในอัตรา 10 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ภายในวันพรุ่งนี้ (10 ต.ค.) เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงไปสมทบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ทางตอนล่างของลุ่มเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยจะเก็บกักน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำในช่วงปลายฤดูฝนเดือนสุดท้ายให้ได้มากที่สุดต่อไป
นายเอกภาพ ยังเปิดเผยด้วยว่า กรมชลประทาน จึงขอปรับลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 โดยทยอยปรับลดจากอัตรา 2,199 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เหลืออัตรา 2,150 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และคงอัตราต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่า ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับทราบถึงสถานการณ์น้ำ
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่าง ๆ ในวันที่ 9 ตุลาคมนั้น นายเอกภาพ เปิดเผยว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 60,444 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 79% ของความจุอ่างรวมกัน ซึ่งยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 15,924 ล้านลูกบาศก์เมตร เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 20,017 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 80% ของความจุอ่างฯ รวมกัน พร้อมทั้งสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 4,854 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ ขอยืนยันว่า น้ำจะไม่ท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่อาจจะมีผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ หรือในพื้นที่ที่มีระดับตลิ่งต่ำในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง และพร้อมปรับแผนการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ให้สอดคล้องกับน้ำเหนือ และฝนตกในพื้นที่ต่อไป
นายเอกภาพ ยังย้ำว่า กระทรวงเกษตรฯ มีการดำเนินงานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนระยะเร่งด่วนแก่เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทั้งการฟื้นฟูอาชีพหลังน้ำลด, การปรับพื้นที่และฟื้นฟูพื้นที่เกษตร และมาตรการลดภาระหนี้สินให้สมาชิกสถาบันเกษตรกร อีกทั้งยังได้กำชับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเร่งรัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมปรับเกณฑ์ลดระยะเวลาในการช่วยเหลือ จาก 90 วัน ให้เหลือ 65 วัน