8 ตุลาคม 2567 ที่กระทรวงยุติธรรม พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เปิดโอกาสให้แกนนำมวลชนชาวบางกลอย เข้าพูดคุยรับฟังปัญหา จากกรณีที่มายื่นเรื่องร้องเรียนที่ทำเนียบฯ เกี่ยวกับปัญหาที่ดินทำกิน ที่กำลังถูกเอกชนยึดครอง
โดยแกนนำม็อบ กล่าวว่า ชาวบ้านมาร้องเรียนที่ทำเนียบ 2 เรื่องคือ 1.ให้เร่งรัดการแต่งตั้งประธานคณะกรรมการ ที่มาดำรงตำแหน่งแทน พลตำรวจเอกสุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เป็นประธานฯ ที่หมดวาระ จึงทำให้ทางเอกชนเร่งรัดเอาที่ดินคืน
ทั้งนี้ แกนนำชาวบ้านมีความเห็นว่า คนที่จะมาเป็นประธานแทน พลตำรวจเอกสุรเชชษฐ์ นั้น น่าจะเป็น นายชาญเชาว์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากชาวบางกลอย กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จากการที่เอกชนให้มีการบังคับคดีให้ชาวบ้านรื้อถอนออกจากที่ดินทั้งหมด 30 คดี ในจำนวนนี้มีเยาวชน 2 คนด้วย โดยขณะนี้ถึงขั้นตอนที่ศาลตัดสินคดีแล้วว่า ตนเองอยู่ในที่ดินของเขา แต่ไม่ได้มีการพิจารณาประเด็นว่า เป็นเอกสารที่ดินถูกกฎหมายหรือไม่
พร้อมกันนี้ ยังได้สะท้อนปัญหาเพิ่มเติมว่า ยังมีชาวบ้านประสบปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ที่ถูกฟ้อง 34 ราย และ 339 ครอบครัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ แจ้งว่า จากการที่ DSI สืบสวนกรณีที่ดินแปลงดังกล่าวทราบว่า คนที่ถือครองสค.1 ระบุจำนวน 19 ไร่ แต่ครอบครองจำนวน 22 ไร่ ซึ่งดีเอสไอได้ทำเรื่องเพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินแปลงนี้แล้ว
เนื่องจากดีเอสไอพบว่า อาจเป็นแจ้งการถือครองที่แปลงนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องไปยังป.ป.ช.แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการชี้มูลคดีนี้ ขณะที่ยุติธรรมจังหวัด กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการไกล่เกลี่ยระหว่างชาวบ้านกับเอกชน ซึ่งจะมีระยะเวลาถึงมกราคม 2568
พันตำรวจเอก ทวี กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้ทางกระทรวงยุติธรรม ให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน โดยช่วยดำเนินการยื่นเรื่องขอให้ชะลอการบังคับคดีให้ทัน ก่อนที่จะสิ้นสุดระยะเวลาของการไกล่เกลี่ยคดี มกราคม 2568 พร้อมทั้งให้ให้ยื่นเรื่องต่อศาลโดยแนบการสืบสวนของ DSI การได้มาเอกสารสิทธิ์ สค.1 น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พันตำรวจเอก ทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน เรื่องกรรมสิทธิ์ถือเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง ซึ่งกรณี “บางกลอย” เป็นเรื่องที่ยาวนาน และเป็นคดีที่ผู้ถูกดำเนินคดีมีความเชื่อมั่นว่า อยู่อาศัยในพื้นที่มาก่อนที่รัฐจะประกาศเป็นเขตอุทยาน และเรื่องอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ จึงมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำเนินการตรวจสอบว่า สามารถที่จะช่วยเหลือในเรื่องใดได้ และจะมอบให้กองทุนยุติธรรม เข้าไปช่วยสนับสนุนเรื่องทนายความหรือหลักทรัพย์ ที่ใช้ในการดำเนินคดี ซึ่งต้องขอตรวจสอบในรายละเอียดอีกครั้ง
สำหรับกรณี “หลีเป๊ะ” เป็นอีกเรื่องในทำนองเดียวกัน แต่เป็นเรื่องของเอกชนฟ้องเอกชน โดยเรื่องอยู่ในชั้นบังคับคดี จึงมอบหมายให้กรมบังคับคดีดำเนินการไกล่เกลี่ย หรือถ้ามีหลักฐานใหม่ ที่จะสามารถรื้อฟื้นหรือให้ความเป็นธรรมได้ ให้ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้กระทรวงยุติธรรมจะรับไปดูแล โดยในรายละเอียดต้องอยู่ที่ข้อเท็จจริงและหลักฐาน ซึ่งในเบื้องต้นยินดีเข้าไปดูแลให้ผู้เดือดร้อนทุกท่าน