29 กันยายน 2567 "นายจิรายุ ห่วงทรัพย์" ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. และ ศปช. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ที่ประชุมวันนี้ของ ศปช.ได้ข้อสรุปเรื่องสำคัญที่เป็นข้อวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
โดยที่ประชุมได้สรุปข้อมูลเปรียบเทียบสถานการณ์น้ำระหว่างปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2554 พบว่า จากการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ พิจารณาทุกปัจจัยทั้งน้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำหนุน ทำให้สถานการณ์น้ำในปี2567 นี้ไม่ซ้ำรอยปี 2554 ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. "จำนวนพายุ" โดยในปี 2554 พบว่ามีพายุเข้าไทยถึง 5 ลูก ไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก เมื่อเทียบกับปี 2567 มีพายุเข้าไทยเพียง 1 ลูกคือ “ซูริก” ซึ่งแม้จะไม่ได้เคลื่อนเข้าประเทศไทย แต่ส่งผลให้พื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสานของไทยมีฝนตกหนักและเกิดน้ำหลากในหลายพื้นที่
2. "ปริมาณฝนสะสม"เนื่องจากในปี 2554 ฤดูฝนในประเทศไทยเริ่มต้นเร็วกว่าปกติ และมีปริมาณฝนสะสมสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 24% และเป็นปริมาณฝนมากที่สุดในรอบ 61 ปี หรือนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ขณะที่ในปี 2567 แม้จะมีปริมาณฝนทั้งประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี แต่ภาพรวมปริมาณฝนสะสมสูงกว่าค่าปกติ 2%
3. ปริมาณเขื่อน"ในการรองรับน้ำในปี 2554 เนื่องจากปริมาณฝนสะสมสูงกว่าปกติทำให้เขื่อนหลักของประเทศไทยรองรับน้ำ 1,366 ล้านลบ.ม. แต่ในปี 2567 การบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลทำให้เขื่อนหลักยังสามารถรองรับน้ำได้ถึง 7,162 ล้านลบ.ม.
4. "ปริมาณน้ำท่า" หรือปริมาณการระบายน้ำเหนือ โดยเฉพาะการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่ส่งผลกระทบกับพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในปี 2554 มีการระบายน้ำสูงถึง 3,661 ลบ.ม./วินาที ขณะที่การระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ณ วันที่ 28 ก.ย.67 อยู่ที่ 1,848 ลบ.ม./วินาที อีกทั้งความจุลำน้ำยังสามารถรองรับการระบายได้สูงถึง 2,730 ลบ.ม./วินาที
"นายจิรายุ" เปิดเผยว่า การประชุมคณะทำงาน ศปช. ได้เน้นย้ำถึงการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำเหนือเขื่อนที่ไหลเข้ามา และปริมาณน้ำทะเลหนุนที่จะกระทบต่อระดับน้ำในลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งทุกหน่วยงานยืนยันตรงกันว่าไม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
"ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำอยู่ที่ 1,900 ลบ.ม./วินาที แต่ที่มีความกังวลคือ น้ำเหนือเริ่มเติมเข้ามามากขึ้น ในอีก 2-3 วันอาจจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งอาจจะกระทบกับพื้นที่ท้ายเขื่อน 11 จุด 4 จังหวัด (อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท) ตามที่ได้แจ้งเตือนไปก่อนหน้านี้ แต่ไม่กระทบกับพื้นที่ กรุงเทพมหานครอย่างแน่นอน เพราะรองรับการปล่อยน้ำได้ถึง 3,000-3,500 ลบ.ม./วินาที"
แต่ทั้งนี้หากมีน้ำทะเลหนุน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่ำและจุดฟันหลอริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทาง กทม.สำรวจแล้วพบว่ามีอยู่ทั้งสิ้น 32 จุด ซึ่งกรุงเทพมหานคร และจังหวัดปริมณฑล ได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว" นายจิรายุ กล่าว
สถานการณ์น้ำเหนือที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ดีขึ้นตามลำดับ
"นายจิรายุ" กล่าวเพิ่มเติมว่า ศปช. ส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย รายงานว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย พบว่าปัจจุบันระดับน้ำทั้ง 2 จังหวัดเริ่มลดลง โดยที่จังหวัดเชียงราย เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ อ.แม่สรวย อ.แม่ลาว และ อ.เวียงป่าเป้า บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 2,892 ครัวเรือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าสำรวจความเสียหายดำเนินการฟื้นฟู และจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาในลำดับต่อไป
ส่วนที่จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมและเกิดดินสไลด์ในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองฯ อ.สารภี อ.หางดง อ.สันป่าตอง และ อ.ดอยหล่อ โดยในพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการฟื้นฟู ล้างทำความสะอาดในพื้นที่ที่สถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลาย ประกอบด้วย ถนนเจริญราษฎร์ จากสะพานนวรัฐ ถึงสะพานนครพิงค์ ถนนช้างคลาน จากวัดอุปคุต ถึงแยกแสงตะวัน ถนนศรีดอนไชย จากแยกแสงตะวัน ถึงแยกโรงแรมอนันตรา ถนนเจริญประเทศ จากแยกโรงแรมอนันตรา ถึง สะพานนวรัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือพร้อมเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่
"รองนายกฯ ประเสริฐ" เผยรัฐบาลเร่งฟื้นฟูอุทกภัยภาคเหนือ
วันเดียวกัน ( 29 กันยายน 2567 ) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ( ศปช.) เปิดเผยว่า จากการติดตามนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และลำปาง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม และมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย พบว่ามีการดำเนินการแผนฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยเชียงรายดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลายพื้นที่ในเขตเทศบาลเมืองเชียงรายเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ซึ่งคาดว่าภายในเดือน ตุลาคม 2567 พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อ.เมืองเชียงราย และ อ.แม่สาย จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ โดยมาตรการเร่งด่วนคือเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา และสัญญาณโทรคมนาคม การฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนกลุ่มเปราะบาง การคืนสภาพเส้นทางสัญจร ซึ่งหลายพื้นที่มีความคืบหน้ากว่า 80% แล้ว
นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เบื้องต้นได้ดำเนินการตามที่มติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 เห็นชอบให้อนุมัติกรอบวงเงิน 3,045 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ 3 อำเภอ (อ.เมืองเชียงราย แม่สาย ขุนตาล) จ.เชียงราย รวม 3,623 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 18,115,000 บาท
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ศปช.ได้มีดำเนินการระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัดและส่วนกลางติดตามรับมือสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที โดยในส่วนของกระทรวงดีอี ได้มอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาเฝ้าติดตามสภาพอากาศ พร้อมแจ้งเตือนประชาชนทันที หากมีแนวโน้นมการเกิดสถานการณ์ที่รุนแรง
"ขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตินี้ไปให้ได้ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกับให้เฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบในทันที เพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด" นายประเสริฐ กล่าว
"นายประเสริฐ" กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาพบการเผยแพร่ข่าวปลอม เกี่ยวกับอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หรือเผยแพร่ข้อมูลอ้างถึงสถาการณ์ที่รุนแรง การเกิดพายุลูกใหม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมฯ จึงขอแจ้งเตือนประชาชน อย่าได้หลงเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน โดยควรตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ อย่างไรก็ตาม กระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Line OA ชื่อว่า 'HelpT (น้ำท่วม ช่วยด้วย)' เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างประชาชนกับหน่วยงานท้องถิ่นของจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ฯลฯ ในพื้นที่ 49 จังหวัด โดยประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและขอความช่วยเหลือ อาทิ การขออพยพ การขออาหาร อุปกรณ์ส่องสว่าง กระสอบทราย ฯลฯ ซึ่งคำขอจากประชาชนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานท้องถิ่นด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยการแอด LINE OA: @HelpT ส่งรูป ระบุพิกัด สามารถติดตามสถานะและผลการดำเนินการได้ นอกจากนี้ HelpT ยังมีการรวบรวมเบอร์โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินของหน่วยงานต่างๆ และให้ข้อมูลพยากรณ์ปริมาณฝนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากแพลตฟอร์ม FAHFON (ฟ้าฝน)