12 กุมภาพันธ์ 2567 จากเหตุการณ์ที่ "น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์" หรือ "ตะวัน ทะลุวัง" ได้บีบแตรใส่ขบวนเสด็จ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 18.20 น. ของวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา ก่อนที่ "นายเศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้มีการหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจวานนี้ (11ก.พ.) เพื่อหามาตรการในการดูแลและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องดังกล่าวซ้ำรอย
โดยนายเศรษฐา กล่าวถึงประเด็นนี้ระหว่างการลงพื้นที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ว่า จากการพูดคุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้อง เรื่องมาตรการอารักขาฯ โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องให้ความดูแลบุคคลสำคัญของประเทศ ซึ่งตรงนี้ก็ได้มอบให้ทางสำนักงานข่าวกรอง พร้อมกำชับให้ดูแลเรื่องนี้ให้ดี เพราะไม่อยากให้มีการปะทะกันเกิดขึ้น และอยากให้ประเทศอยู่ด้วยความสามัคคี ถ้ามีเวทีไหนที่เห็นต่าง ซึ่งต้องเป็นเวทีที่เหมาะสม หรือเวทีนักวิชาการมาพูดคุยกัน
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีหลายฝ่ายออกมาแสดงพลังและจุดยืนในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ และกลุ่มต่างๆ นั้น ส่วนตัวว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้กองทัพก็ทำกันอยู่แล้ว กองทัพก็ให้ความเคารพสถาบัน
ส่วนทาง ผบ.ตร. ได้มีการรายงานเรื่องการดำเนินคดีอย่างไรบ้างนั้น ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งหรืออย่างไร แต่ก็อยากจะวิงวอนในเรื่องของการใช้ความรุนแรง เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควร รัฐบาลไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือกองทัพ ก็อยากจะเห็นความสมัครสมานสามัคคี
"แน่นอนการเห็นต่างเป็นเรื่องที่สังคมมีการเห็นต่างอยู่แล้ว ก็ต้องมาพูดคุยใช้เวทีที่ปลอดภัยและไม่เป็นที่คุกคามของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่อยากจะขอวิงวอนอ้อนวอน ให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงจุดนี้ ประเทศเราก็เดินหน้ามาด้วยดี เรื่องความวุ่นวายเหล่านี้มันก็ไม่มีมานาน เราก็ไม่อยากที่จะให้เป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษาความปลอดภัย และความมั่นคงที่ต้องดูแล" นายเศรษฐา ระบุ
ส่วนความกังวลว่าจะกลายเป็นเหตุความรุนแรงหรือไม่ เนื่องจากล่าสุดก็เกิดการปะทะกันเกิดขึ้น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องการใช้กำลังหรือวาทกรรม ก็อยากให้ลดลงควรใช้เวทีสาธารณะอื่นๆ ดีๆไม่ว่าจะเป็นสภาหรือนักวิชาการในการพูดคุยกันในเวทีที่ปลอดภัยกว่านี้ ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายก็อยากให้ประเทศชาติมีความปรองดอง ความสมัครสมานสามัคคี มีบรรยากาศที่พูดคุยกันได้ ทุกฝ่ายก็ให้ความสำคัญ ตนก็ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไป ว่าต้องระมัดระวังอย่าให้กระทบกระทั่งกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดความปลอดภัยของราชวงศ์ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ส่วนพรรคก้าวไกลมีความคิดเห็นว่าหากเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองก็จะนิรโทษกรรมด้วยนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่เคยมองไปไกลขนาดนั้น มองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่ต้องดูแลบุคคลสำคัญของประเทศให้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดมีการคุกคามหรือการใช้กำลัง และไม่อยากให้เรื่องนี้มาเป็นเรื่องการเมืองด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
สำหรับเหตุที่มีการปะทะกันล่าสุดเนื่องจากกลุ่มทะลุวังได้มีการนำป้ายโพสต์ข้อความเกี่ยวกับขบวนเสด็จมาทำกิจกรรม จึงควรที่จะให้หยุดพฤติกรรมตรงนี้หรือไม่ นายเศรษฐา มองว่า เรื่องของการพูดคุยก็ควรเป็นสถานที่ที่เหมาะสม มีตัวแทนของประชาชนดูแล้วอยู่ในรัฐสภา ก็ต้องใช้เวทีสภาในการพูดคุยกันดีกว่าหรือไม่ เพราะก็เป็นเวทีที่ปลอดภัยและถูกต้องตามครรลองคลองธรรมในระบบประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกๆฝ่าย ทุกๆพรรค ทุกๆคน ที่เรารักก็ได้มีการเลือกตั้งกันไปแล้ว ทุกๆฝ่าย ก็มีตัวแทนอยู่แล้วในรัฐสภาอยู่แล้ว ถ้าเกิดมาใช้เวทีอื่นที่อาจจะ ที่มีพื้นที่สาธารณะประชาชนอยู่เยอะ ก็อาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ต้นก็ไม่เห็นด้วย เพราะก็มีคนเดือดร้อน เราไม่อยากให้บรรยากาศที่เกิดขึ้นอย่างเมื่อวันเสาร์ เข้าไปสู่สายตาของชาวโลก เพราะทุกประเทศเขาก็มีเรื่องการอารักขาผู้นำ และต้องเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
"ผมไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่ที่ไหนให้ท้าย แต่ถ้าจะให้ผมพูด เรื่องนี้มันไม่ควรมีการให้ท้าย ไม่ควรมีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง เพราะว่าขบวนเสด็จมีภารกิจ พระองค์ท่านมีภารกิจตลอดเวลาทุกพระองค์ เพราะฉะนั้นเรื่องการเดินทางของท่านเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างสูงสุด แล้วฝ่ายที่เห็นต่างก็ควรใช้เวทีที่ปลอดภัย เรามีนักวิชาการก็ควรพูดคุยกันในเวทีที่ถูกต้อง ไม่อยากให้เป็นเวทีที่มาใช้คำว่าท้าทาย อย่างเช่นที่ศูนย์การค้าหรือที่สาธารณะต่างๆ ไม่เหมาะสมหรอก เพราะมันไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย และสถานที่ช้อปปิ้งต่าง ๆ ก็มีคนที่ไปพักผ่อนกัน" นายเศรษฐากล่าว
ผบ.ตร.ย้ำถวายความปลอดภัยสถาบันด้วยชีวิต
ขณะที่ "พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล" ผบ.ตร. เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายกฯ วานนี้ (11ก.พ.) ว่า นายกฯเรียกไปพบ พร้อมกำชับเรื่องการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ ถ้ามองในมุมคนนอกก็ห่วง เหมือนมีช่องว่าง แต่ขอให้เชื่อตนอย่างหนึ่งว่าขบวนเสด็จ มีการวางระบบไว้ค่อนข้างดี แต่ไม่สามารถบอกได้ เพราะคนจะทราบหมดว่ามีการวางไว้อย่างไร พร้อมทั้ง ได้ยืนยันกับนายกฯไปว่า การถวายความรักษาความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ มีการวางระบบ
"แต่การที่มีกลุ่มเห็นต่างเข้ามาแสดงออกลักษณะเช่นนี้ ได้กำชับตั้งแต่วันแรกว่า เราจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานที่มี ไม่ต้องรอให้สื่อมวลชนถาม ผมเชื่อว่าเยาวชนที่ออกมา ไม่ได้ออกมาเอง มีขบวนการที่อยู่ข้างหลัง ขอตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน และในวันที่ทำคดีเสร็จ ทุกคนจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีค่อนข้างละเอียด โดยได้ย้ำว่า อย่าเร่งทำ ไม่เช่นนั้นจะผิดพลาด ฉะนั้นขอเวลาอีก 2 วัน เดี๋ยวจะเห็นการแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับ" ผบ.ตร. กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวจะมีการจับกุมดำเนินคดีอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน และเร่งรัดพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการ เพื่อปิดข้อครหาทั้งหมด และให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย เพราะไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นโจมตีสถาบันด้วย อีกทั้ง ยืนยันว่าไม่ได้มีการสั่งการ แต่ดำเนินการตามหลักฐานและขอให้เชื่อมั่นตำรวจ
"เรื่องการถวายความปลอดภัยพวกเรา ดูแลพระองค์ท่านด้วยชีวิต พวกพี่ดูแลด้วยชีวิตของพวกพี่จริงๆ" ผบ.ตร. กล่าว
ส่วนเยาวชน 2 คนที่ก่อเหตุมีคดีติดตัวอยู่จะดำเนินการอย่างไรนั้น ขณะนี้พนักงานสอบสวนของ บช.น. กำลังดำเนินการอยู่ รออีก 2 วัน เพื่อให้พยานหลักฐานใหม่ในการแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จสิ้น พร้อมยอมรับว่าจะมีการถอนประกัน ส่วนจะออกหมายจับมากกว่า 2 คนหรือไม่นั้น ผบ.ตร. ปฏิเสธตอบคำถาม โดยระบุเพียงว่า ขอให้ดำเนินการในเบื้องต้นก่อน และวานนี้ ตนก็ได้รายงานนายกฯไปหมดแล้ว
ยันมีกลุ่มหนุนกำลังรวบรวมหลักฐาน
เมื่อถามย้ำว่า ระหว่างการรอถอนประกันเยาวชนกลุ่มดังกล่าวอาจจะเคลื่อนไหวพื้นที่อื่น ผบ.ตร. ระบุว่า มีการดูแลติดตามอยู่ อย่างวานนี้ที่มีเหตุการณ์ปะทะ 2 ฝ่าย ก็ติดตามดูอยู่ แต่อย่างไรการแสดงพฤติกรรมที่ห้างสรรพสินค้า จะเห็นได้หลายอย่างว่า มีการเตรียมการ ซึ่งยังไม่ได้แสดงอะไรบางอย่าง เตรียมการเพื่อไม่ให้ผิดข้อกฎหมายบางข้อ พร้อมเชื่อว่ามีคนที่ให้คำแนะนำ แต่จะมีนักการเมืองอยู่ด้วยหรือไม่นั้น ไม่ยืนยัน แต่ยืนยันว่าในทางสอบสวนมีบุคคลช่วยเหลือให้คำปรึกษา และไกด์ไลน์อย่างแน่นอน ส่วนจะเอาผิดผู้อยู่เบื้องหลังได้มากน้อยเพียงใด ขณะนี้ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ และในทุกการกระทำที่เขาดำเนินการ
ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงปฏิกิริยาของตำรวจที่มีความล่าช้า ผบ.ตร. ระบุว่า "โอ้โหอย่างพี่หรอ ไม่เอาจริงเอาจัง เรื่องถวายความปลอดภัย น้อง (สื่อฯ) ก็รู้ว่าพี่ดูแลเรื่องนี้มานานมาก ไม่ต้องห่วงครับ เราบอกแล้วข้าราชการทุกคนเป็นข้าราชการในพระองค์ ที่ดูแลความปลอดภัย มันเป็นภารกิจข้อแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ดูแลความปลอดภัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ มันเป็นสิ่งที่พวกพี่ต้องทำเป็นข้อแรกเลยของข้าราชการตำรวจ ไม่ต้องห่วง พี่ทำให้ไม่มีข้อครหาและให้ความยุติธรรมทุกฝ่าย"
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวมีการกระทำความผิดซึ่งหน้า ผบ.ตร. กล่าวว่า ทางตำรวจสืบตั้งแต่ก่อนมีเหตุการณ์ ระหว่างมีเหตุการณ์ และหลังมีเหตุการณ์ ไม่ใช่แค่ซึ่งหน้าเท่านั้น ซึ่งการแจ้งข้อกล่าวหาตรงนี้ จะทำให้ข้อกล่าวหาแตกต่างกันมาก และประเด็นดังกล่าวก็อาจจะเป็นเหตุให้ตำรวจสามารถเพิกถอนประกันต่อศาลได้ พร้อมย้ำว่าไม่เกิน 2 วัน ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว และย้ำว่าที่ออกมาไม่ได้หิวแสง หรือรังแก และที่ออกมาช้า ก็อยากจะทำให้ละเอียด พร้อมย้ำว่าจะไม่มีการหว่านหรือรังแก หากสอบพยานถึงใครก็คนนั้น
เมื่อถามว่า ขบวนการดังกล่าวอยู่ในประเทศหรือรวมถึงต่างประเทศด้วยนั้น ผบ.ตร. ระบุว่า มีเพียงในประเทศเท่านั้น แต่หากพยานหลักฐานสาวถึงใคร ก็จะเรียกมาทั้งหมด และจากการสอบสวนมีแนวทางว่า มีคนช่วยเหลืออย่างแน่นอน ส่วนจะเรียกผู้อยู่เบื้องหลังมาพูดคุยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าขณะนี้ได้รายงานนายกฯไปแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกขั้นหนึ่ง
"วราวุธ" หนุน สส.ตั้งญัตติด่วนถกการถวายอารักขา
ขณะที่ "นายวราวุธ ศิลปอาชา" รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอญัติติด่วน เกี่ยวกับเรื่องการถวายอารักขาขบวนเสด็จ ว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วย 100 เปอร์เซ็น อย่าว่าแต่ในประเทศไทย เพราะในทุกๆ ประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ขบวนของประธานาธิบดี จะมีการอารักขา มีการปิดถนนอย่างแน่นหนามาก หากมีผู้ใดแทรกแซงเข้ามา
"ผมเคยเห็นกับตา บวกกับในสารคดีก็จะเห็นว่าบุคคลผู้นั้น หรือยานพาหนะนั้นจะถูกปาดจนตกถนน หรือโดนล็อกตัวออกไป ดังนั้น ประเทศไทยก็เช่นกัน การถวายอารักขาให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรานั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" นายวราวุธ กล่าว
นายวราวุธ กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนาทำงานไม่ได้หลับหูหลับตา เห็นและสัมผัสด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการทำงานถวายพระบรมวงศานุวงศ์ ในสถาบันนั้น ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหนเพียงใด ดังนั้น บางครั้ง การที่จะเรียกร้องให้มีการรักษาสิทธิของบุคคลต่าง ๆ นั้น แต่ละคนก็ต้องเข้าใจในการที่จะไม่ละเมิดสิทธิคนอื่นเช่นกัน ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาสนับสนุนญัตตินี้ 100 เปอร์เซ็น