20 ตุลาคม 2566 กระแสข่าวพรรคก้าวไกล เรื่องการคุกคามทางเพศ ซึ่งถือเป็นจุดยืนที่สำคัญของพรรคก้าวไกล ในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ หลังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ทนายแยม สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมการวินัยพรรค ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 66 โดยระบุถึง ข้อกล่าวหาคุกคามทางเพศ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 กรณี นายวุฒิพงษ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี หลังจากทางพรรคได้รับคำร้องจากผู้ร้องเรียน ทางพรรคได้ริเริ่มกระบวนการสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการวินัยพรรค เมื่อเดือนสิงหาคม โดยได้เชิญแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมตลอดเดือนกันยายน พบว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูล คาดว่าจะการวินิจฉัยจะได้ข้อสรุปภายในเดือนตุลาคมนี้
อีกกรณี ซึ่งยังไม่ปรากฏในสื่อสาธารณะ พรรคได้ทราบข้อมูลว่า ได้เกิดเหตุการณ์ที่อาจเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศโดยสส.ของพรรคก้าวไกล แม้ว่า ทางพรรคยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรง จากบุคคลซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย ทว่าตั้งแต่ทราบเรื่อง ทาง คณะกรรมการวินัย ได้เร่งติดต่อไปยังบุคคลดังกล่าว โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการรอความพร้อมของบุคคลดังกล่าว ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ
ในกรณีหลังนี้ “เนชั่นออนไลน์” ได้รับการติดต่อจากผู้เสียหาย 3 คน จากการคุกคามทางเพศของ สส.ฝั่งธนบุรี พรรคก้าวไกล โดยในวันนี้(20 ต.ค.) จะเข้าไปให้ข้อมูลคณะกรรมการวินัยพรรคก้าวไกล ในช่วงบ่าย
โดย น.ส.หนึ่ง เปิดเผยว่า ตนเคยทำงานร่วมกับสส.คนนี้หลายปี พฤติกรรมของสส.มีตีสนิท แตะเนื้อต้องตัว และทำให้เชื่อใจ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร เห็นเป็นแค่ความสัมพันธ์พี่-น้องและเห็นว่าเขาคงเอ็นดูเราในฐานะเด็กคนหนึ่ง จากนั้นสส.มีการชวนไปเที่ยวกลางคืน ชวนให้ดื่ม และฉวยโอกาสเมื่อไม่มีสติในการคุกคามทางเพศ หลังจากเหตุการณ์นั้นมีการขอมีเพศสัมพันธ์อีกหลายครั้ง แต่ตนเองปฏิเสธมาโดยตลอด ที่ผ่านมาไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร เพราะกลัวกระทบต่อหน้าที่การงาน และเกรงกลัวผลกระทบที่ตามมาจากสังคม
เหตุผลที่ได้ร้องเรียนต่อกรรมการวินัยพรรคหลังจากเกิดเรื่อง เนื่องจากพบว่า คนในทีมอีกสองคนได้ถูกคุมคามทางเพศเช่นเดียวกัน จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรออกมาส่งเสียงให้สังคมได้รับรู้ว่า การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเราไม่ควรยิมยอมให้เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังไม่อยากให้ใครเจอแบบที่ตนเองเจอ
หลังจากที่คณะกรรมการบริหารร้องต่อคณะกรรมการวินัยพรรค สส.ได้โทรศัพท์มาขอโทษตนเอง และร้องไห้ ขอให้บอกคณะกรรมการฯว่า อย่าลงโทษรุนแรง เพราะอยากทำงานในพื้นที่ต่อ นอกจากนั้นยังมีการเตี๊ยมให้บอกว่า เป็นการสมยอมจากทั้งสองฝ่ายเพื่อให้โทษเบาลง
เมื่อถามว่ามีความคาดหวัง กับคณะกรรมการวินัยพรรคอย่างไร น.ส.หนึ่ง กล่าวว่า เคสอื่นไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่คณะกรรมการฯให้ความสนใจเรื่องเรามาก ขอพูดคุยเลยแต่เนื่องจากเราขออ่านหนังสือสอบก่อน คณะกรรมการฯก็ยอม และจะมีการเรียก สส.มาคุยก่อน ซึ่งไม่ทราบว่าได้คุยอะไรกันไปบ้าง และวันนี้(20 ต.ค.) ในช่วงบ่ายตนกับพี่ที่ถูกกระทำจะเข้าไปให้ข้อมูล
สำหรับโทษที่อยากให้เขารับคือ ไม่อยากให้เขาได้เป็นส.ส.อีกต่อไป เนื่องจากเห็นว่าการคุกคามทางเพศ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและสังคมควรจะตระหนักถึงความรุนแรงของการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน โดยเฉพาะการใช้ตำแหน่งหน้าที่และความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการฉวยโอกาสคุกคามทางเพศ
ขณะที่ น.ส.สอง กล่าวว่า ได้เข้าไปทำงานกับ สส.ฝั่งธนฯ พรรคก้าวไกล ช่วงแรกไปช่วยตอนหาเสียง ช่วงนั้นยังไม่ได้เข้าไปทำงานในศูนย์ประสานงาน ก็เลยไม่ได้คุยกันเท่าไร ส่วนใหญ่จะคุยทางไลน์ จึงไม่ค่อยสนิทกัน
หลังจากเลือกตั้งชนะ สส. ก็ชวนไปทำงานด้วย เป็นผู้ช่วยสส. ก็จะมีเข้าไปทำงานในศูนย์ประสานงานกรรมการของของเขต แล้วก็มีเข้าสภาผู้แทนราษฎรวันที่มีประชุม แรกๆก็เหมือนยังไม่ได้มีอะไร แต่พอเริ่มสนิทขึ้น ก็เริ่มรู้สึกว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ แต่ตอนนั้นคิดว่าคิดไปเอง
โดยพฤติกรรมก็จะมีเริ่มตั้งแต่ ช่วงแรกๆ ก็จะมีไปส่งที่บ้านหลังจากกลับสภาฯและเริ่มบ่อยขึ้น มีการแตะเนื้อต้องตัว จับหัว จับไหล่ มานวดให้ จับแขนถามเรื่องส่วนตัว และมีการเล่าให้ฟังว่าเลิกกับแฟนเก่า โดยสส.ทำแบบนี้กับน้องในทีมอีก 2 คน คือ แรกๆจะทำให้เชื่อใจแล้วก็จะชวนไปโน่นไปนี่ 2 ต่อ 2
อยากให้ติดตามเรื่องนี้ เพราะน้องในทีมอายุ 20-21 น้องกลัวมาก เรื่องน้องเกิดมานานแล้วประมาณ 3 เดือน ตอนแรกน้องไม่กล้าเล่าความจริงให้ใครฟัง เพราะกลัวไปต่างๆนาๆ กลัวว่าจะเสียโอกาสในการทำงานต่อ กลัวเล่าไปแล้วไม่มีใครเชื่อ กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าสมยอม แต่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการทำงานคุกคามทางเพศ ตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า ทำให้เขาคิดว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา
ตอนแรกคิดว่าพี่เขาเอ็นดูอาจจะคิดไปเอง แต่หลังๆเริ่มไม่ใช่ เริ่มแตะเนื้อต้องตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนคิดว่า เราต้องทำอะไรบางอย่าง ก็เลยตัดสินใจลาออก แล้วก็ไปแจ้งเรื่องกับทางพรรค แต่การดำเนินงานช้ามาก และดูไม่เป็นระบบ ตอนนี้คนในพรรครู้กันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการจัดการอะไรให้เห็น เหมือนพูดกันภายในแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ด้าน น.ส.สาม กล่าวว่า เข้ามาทำงานได้ประมาณเดือนเศษ จากการชักชวนของสส. เริ่มรู้สึกผิดปกติกับสส. จากคำพูดที่จี้ถามตลอดว่ามีแฟนหรือยัง เราบอกว่ามีคนคุยอยู่ แต่เขาก็ยังบอกว่าก็ยังโสดอยู่สิ ถามตลอด บางครั้งก็มีการถึงเนื้อตัว ชวนไปไหนมาไหนบ้าง แต่ตนก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งน้องในทีมมาเล่าให้ฟังว่าโดนอะไรมา ซึ่งจากหลักฐานและเหตุการณ์ เป็นคนละโลกกับที่สส.พูดเลย จึงได้รวมตัวกันนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งพรรค
วันนี้(20 ต.ค.) จะเข้าไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการสอบสวนของพรรค ในช่วงบ่าย ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่มีความมั่นใจเท่าไร เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนพรรค ไม่ได้ take action ในเรื่องนี้ ต้องรอให้เรื่องล่วงเลยจนเกิดกระแส ซึ่งต่างจากการแสดงจุดยืนของพรรค ในเรื่องการคุกคามทางเพศ และทำไมยังมีข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าสุดท้ายคงจะให้แค่ใบเหลืองกับสส.
เมื่อถามว่า ความรู้สึกที่มีต่อพรรคในขณะนี้ น.ส.สาม กล่าวว่า ขนาดเราทำงานด้วยยังเกิดปัญหานี้ได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า จะไปผลักดันนโยบายในระดับประเทศ แต่เรื่องของตนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพรรค เป็นเรื่องของบุคคล แต่คำถามเป็นอย่างที่โซเชียลถาม ทำไมการพิจารณาตัดสินเรื่องนี้ใช้เวลานาน ขนาดคนทำงานในพรรคยังประสบปัญหา แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า พรรคจะไปผลักดันนโยบายในระดับประเทศได้
โดยขณะนี้ทีมงานสส. 6 คน ลาออกหมดแล้ว