11 ตุลาคม 2566 ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น ประธานสภาฯ ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือเรื่องต่างๆ น.ส.ชนก จันทาทอง สส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย หารือถึงปัญหาแรงงานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอลว่า ตนเองได้รับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานจำนวนมาก ทั้งที่ถูกจับตัวและได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบชะตาชีวิต ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน ตัวเลขแรงงานไทยที่ไปทำงานในอิสราเอลมากถึง 25,000 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานที่มาจากภาคอีสานถึง 19,000 คน
คนไทยที่ไปทำงานที่อิสราเอลเป็นคนยากจน กู้หนี้ยืมสินเพื่อส่งตัวเองไปประเทศกลุ่มเสี่ยง เพื่อหาเงินหารายได้กลับมาส่งเสียครอบครัวที่เมืองไทย ตนจึงอยากเรียกร้องไปยัง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
1.ช่วยสื่อสารเป็นระยะๆ ถึงมาตรการการช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล
2.รัฐบาลมีความช่วยเหลือเยียวยาแรงงานไทยที่เสียชีวิต รวมถึงแรงงานที่ต้องตกงานและอพยพกลับมายังประเทศไทย เพื่อเป็นการปลอบขวัญครอบครัวและลดความกังวลของแรงงานไทยในอิสราเอล
ขณะที่ นายสาเหะมูหามัด อัลอิดรุส สส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ได้แสดงความเสียใจต่อผู้ชีวิตของคนไทย ที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ตนอยากเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยรักษาความเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เพราะสถานการณ์ที่เกิดเหตุมีความสลับซับซ้อน มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน พร้อมเรียกร้องให้ไทยเร่งช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ปะทะ อย่างเร่งด่วน และขอให้สันติภาพความสงบสุขคืนสู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต่อไป
ด้านนายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ชัยศิริ สส.อุดรธานี พรรคก้าวไกล กล่าวว่า อุดรธานีเป็นจังหวัดที่ส่งแรงงานออกไปเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ มีแรงงานอุดรธานีที่ยังตกค้างอยู่ที่อิสราเอลกว่า 4,000 คน ซึ่งเป็นแรงงานที่ไปตามระบบและถูกต้องตามกฎหมาย แรงงานจึงคาดหวังว่าภาครัฐและภาคเอกชนที่ส่งแรงงานออกไป จะมีความรับผิดชอบดูแลให้ชีวิตและทรัพย์สินปลอดภัย
แต่น่าเศร้า เพราะ สส.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากญาติผู้ใกล้ชิดผู้ประสบเหตุว่า ยังไม่มีหน่วยงานไหน หรือองค์การใดยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างชัดเจน ตนจึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานและภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชนบริษัทจัดหางาน ถ้ามีปัญญาส่งคนเหล่านี้ไปทำงาน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นก็ต้องมีปัญญานำกลับมา ถ้าไม่มีก็ขอให้ถอดใบอนุญาตผู้ประกอบการดังกล่าว ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ก่อนจะออกไปทำงาน เป็นเกษตรกรหาเช้ากินค่ำ และไม่รู้ว่าประเทศที่ไปมีความเสี่ยงขนาดไหน แรงงานหลายคนที่ร้องเรียนเข้ามาไม่กล้ากลับ เพราะกลัวว่ากลับมาแล้วจะไม่มีงานทำมาใช้หนี้ใช้สิน