2 กันยายน 2566 "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังมีการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ว่า คงตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้เป็นหลัก ตนคงไม่ได้ดูเป็นบุคคลสักเท่าไหร่ แต่ดูวิธีในการเข้าสู่อำนาจ ดูเรื่องปัญหาเกี่ยวกับศรัทธาของประชาชน ในการเตรียมมาเป็น ครม. ในการแก้ปัญหา
"สิ่งที่อยากฝากไว้ก็อยากจะให้รักษาสัจจะตามที่หาเสียงกับพี่น้องประชาชนไว้ เพราะหลายนโยบาย เขาตั้งใจที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงๆ ถ้าการแถลงนโยบายประมาณวันที่ 8-9 ก.ย.นี้ ก็คงจะเห็นว่าหลายเรื่องที่เคยหาเสียงไว้ และที่มีดิจิทัลฟรุตปริ้นท์ เสนอนโยบายอย่างไรบ้าง ก็ต้องทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพราะไม่อย่างนั้น วิกฤติศรัทธาจะเกิดขึ้น ศรัทธาเกี่ยวกับการเมือง ศรัทธาเกี่ยวกับรัฐสภา ศรัทธาเกี่ยวกับการทำงานการเมืองของพี่น้องประชาชน ที่คิดว่าจะไปเลือกทำไม จะมีดีเบตกันไปทำไม เพราะไม่รู้ว่าที่พูดไปไม่เกิดขึ้นจริง ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญ ความรับผิดชอบในคำพูด" นายพิธา กล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ส่วนฝ่ายค้านก็จะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ที่มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เข้มข้น ในขณะเดียวกัน ก็จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งแน่นอน
เมื่อถามว่า ในฐานะฝ่ายค้านจะให้ฝ่ายรัฐบาลทำงานกี่เดือนถึงจะรุกแบบเข้มข้น นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้ช้ามาตั้ง 3 เดือน ตั้งแต่การเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค. อย่างที่ "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" อดีคผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เคยพูดไว้ว่า ไม่มีเวลาฮันนีมูนกัน ต้องรีบทำงานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้สัญญาประชาคมที่แต่ละพรรคการเมืองทำร่วมกันไว้แล้ว ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างได้ว่าเป็นพรรคร่วมแล้วทำไม่ได้
"เปรียบเทียบอย่างตอนที่พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเอา MOU มาเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เลือกพรรค แต่เลือกภารกิจ ดังนั้น น่าจะคุยกันได้แล้วว่า จะทำอะไร ไม่ทำอะไร ไม่อย่างนั้นจะใช้เป็นข้ออ้างในทุกครั้งไปว่าพรรคร่วมทำไม่ได้ แน่นอนว่าการพูดคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ ผมเข้าใจ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมรัฐบาลกัน ก็ต้องดูก่อนว่านโยบายจะอย่างไร ขอให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาสัจจะเป็นที่ตั้ง ถ้าเอา 2 อย่าง เป็นที่ตั้ง ผมคิดว่ารัฐบาลจะทำงานได้อย่างดี ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลรักษาสัจจะให้ได้ เอาประชาชนที่ตั้ง" นายพิธา กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการนัดพูดคุยกันในพรรคฝ่ายค้านกับพรรคประชาธิปัตย์และแบ่งงานอย่างไร หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนทำงานนอกสภาเป็นส่วนใหญ่ ก็ให้คำปรึกษากับเพื่อน สส. ทั้งเรื่องการอภิปราย การทำงาน หรืองบประมาณที่จะเข้า ทั้งนี้สมัยนี้พรรคก้าวไกลได้ สส. มากขึ้น ก็จะได้สัดส่วนกรรมาธิการที่เยอะขึ้น ตนก็จะทำงานแบบนี้จนกว่าที่จะได้รับสิทธิ์คืนมา ประชาชนคอยอยู่ก็จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ได้และกลับไปทำงานโดยเร็ว เพื่อจะเข้าไปสู่สภาอีกครั้ง
เมื่อถามว่า ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะมีการวางเป้าหมายไว้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ระบุว่าต้องเป็นหัวหน้าพรรคเสียงที่มีมากที่สุดของฝ่ายค้าน แต่ปัญหา คือ ตนถูกสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัญหาที่ไม่สามารถรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ ส่วนตัวก็ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นมติพรรคหรือเป็นไปตามรัฐธรรมนูญบังคับให้จะต้องรับ ก็อาจจะต้องรออีกทีหนึ่ง จึงยังไม่รีบตัดสินใจ เพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือน กว่าที่ตนจะได้กลับไป ส่วนพรรคอื่นก็ขอไม่พาดพิง แต่เท่าที่ติดตามก็น่าจะติดเงื่อนไขว่าหัวหน้าพรรคแต่ละพรรคเป็น สส. ในสภาหรือไม่ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของพรรรคอื่น
"ถ้าอ่านตามรัฐธรรมนูญ ผมก็ว่าชัดเจนว่าต้องเป็นพรรคที่มี สส. อันดับหนึ่ง และหัวหน้าพรรคต้องเป็น สส. ซึ่งถ้าผมไม่ได้เป็นอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไหลไปที่พรรคอื่น เท่าที่อ่าน และหากอ่านวรรคสุดท้าย ก็จะเห็นว่าตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะสิ้นสุดลงเมื่อเงื่อนไขในพารากราฟแรกเปลี่ยนไป หมายความว่าหากผมกลับไป มันก็ต้องไหลมาที่ผม ที่เป็นพรรคอันดับหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ" นายพิธา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวก็คิดว่ายังตั้งใจทำงานเป็น สส.คนหนึ่ง ก็ยังทำงานได้ ไม่ได้ยึดติดกับส่วนตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องของกฎหมาย หรือเป็นมติของเพื่อน สส. และของพรรคมา ตนก็ต้องเคารพ และตอนนี้ก็ยังมีเวลาตัดสินใจอีกนาน และก็อยากให้ "นายปดิพัทธ์ สันติภาดา" รองประธานสภา คนที่1 ตั้งใจทำงานในตำแหน่งรองประธานสภา ในช่วงเวลาที่ตนยังไม่ได้กลับเข้าไป อาจจะ 4-6 เดือน ซึ่งตนคิดว่า ยังมีเวลาพอที่จะให้นายปดิพัทธ์ ได้ทำหน้าที่รองประธานสภา อย่างที่หวังไว้ พร้อมย้ำว่ายังมีเวลาอยู่และยังรอได้