svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล "ประยุทธ์ 2" แนะทางนโยบาย "รัฐบาลใหม่"

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล "ประยุทธ์ 2" ถลกนโยบาย 10 ด้าน พร้อมข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อ "รัฐบาลใหม่" ที่จะเข้ามาบริหาร

16 สิงหาคม 2566 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินผลงานรัฐบาลประยุทธ์2 จัดตั้งขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 และข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลใหม่ ใน10 ด้าน โดยผลงานด้านความมั่นคง ประกอบด้วย

  • การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ (EEC)

มีหลายโครงการที่ยังไม่มีความคืบหน้านักทั้งที่มีความสำคัญสูงในระดับเป็น “เรือธง” เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (Flagship project) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางขนส่งทางบกและทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้มากการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ยังเกิดขึ้นไม่มากนัก

โดยในช่วงปี2562-2565 รัฐบาลใหม่ควรสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ EEC ไปต่อเนื่อง แต่ควรทบทวนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล \"ประยุทธ์ 2\" แนะทางนโยบาย \"รัฐบาลใหม่\"

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม

มีลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมต่อเนื่อง เช่น โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เปิดให้บริการทั้งสายสีแดงและสายสีเหลือง รวมถึงสายสีชมพูที่กำลังจะเปิดให้บริการ การอนุมัติเส้นทางรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางได้แก่เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย และบ้านไผ่-นครพนม แต่รัฐบาลไม่สามารถผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่สำคัญอีกอย่างน้อย 4 โครงการดังต่อไปนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

     1. การก่อสร้างรถไฟทางคู่ ซึ่งเกิดความล่าช้ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างทางช่วงมาบกระเบา-จิระ ซึ่งทำให้เส้นทางรถไฟทางคู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เสร็จสิ้นไปมากแล้วไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ

     2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเกิดความล่าช้าในการประมูล นอกจากนี้การดำเนินงานให้เกิดตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วมของระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑลยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าโดยสารราคาแพง และระบบขนส่งมวลชนที่ลงทุนไปไม่ได้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า

     3. โครงการระบบขนส่งมวลชนในส่วนภูมิภาค ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น รวมทั้งโครงการรถรางในจังหวัดขอนแก่นที่ภาคธุรกิจและเทศบาลหลายแห่งได้พยายามผลักดันมานาน เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในส่วนของงบลงทุน

     4. โครงการระบบขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ที่ยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้างเลย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล \"ประยุทธ์ 2\" แนะทางนโยบาย \"รัฐบาลใหม่\"

  • รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการดังต่อไปนี้

     1.ควรเร่งรัดการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เร่งรัดการจัดซื้อหัวรถจักรและขบวนรถเพื่อให้บริการรถไฟสำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และเร่งรัดการออกกฎหมายการขนส่งทางราง เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมให้บริการเดินรถไฟได้

     2.ควรเร่งแก้ไขปัญหาการประมูลสัญญาสัมปทานสายสีส้ม และเร่งรัดให้เกิดค่าโดยสารร่วมทั้งระบบรถไฟฟ้าและรถโดยสารประจำทาง เพื่อให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายน้อยลงในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

     3. ควรเร่งแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค กระจายอำนาจและสนับสนุนด้านการเงินให้ท้องถิ่นสามารถให้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ของตนได้

  • การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

ผลงานที่สำคัญของรัฐบาล ประกอบไปด้วยการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับคือ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 และพ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ตลอดจนกฎหมายลำดับรองต่างๆ ซึ่งรวมถึง พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 และพ.ร.ฎ. จัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2566 การปรับปรุงกฎระเบียบดังกล่าวอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้อันดับ E-government Development Index (EDGI) ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอันดับที่ 73 ในปี 2561 เป็นอันดับที่ 57 ในปี 2563 และอันดับที่ 55 ในปี 2565

ในช่วงของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการประชุมและการทำงานออนไลน์ในวงกว้าง ตลอดจนมีการใช้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ โดยเฉพาะ “พร้อมเพย์” ที่ได้พัฒนาขึ้นก่อนหน้าอย่างก้าวกระโดด  นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดให้มีแอปพลิเคชัน“หมอพร้อม”  และ “เป๋าตัง” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล \"ประยุทธ์ 2\" แนะทางนโยบาย \"รัฐบาลใหม่\"

  • การพัฒนาภาคเกษตร

โครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การช่วยเหลือเกษตรกร  6 โครงการ ได้แก่โครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ปลูกพืช 5 ชนิด (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา และปาล์ม) สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการทำนา ซึ่งใช้เงินงบประมาณรวม 158,626 ล้านบาทในปี2565-2566 (สูงกว่างบประมาณกระทรวงเกษตรฯ 111,185 ล้านบาท)

จุดแข็งของโครงการดังกล่าวคือ เกษตรกรที่ลงทะเบียนได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงเข้าบัญชีที่ธกส. ทำให้มีการรั่วไหลน้อย และน่าจะมีทุจริตน้อยกว่าโครงการจำนำข้าวทุกเม็ด เนื่องจากรัฐไม่ได้เข้าแทรกแซงการค้าสินค้าเกษตร 

เมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาประกัน รัฐก็ไม่ต้องจ่ายเงินช่วยเหลือในโครงการประกันรายได้ เช่นในปี 2563/64 ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยให้ชาวสวนปาล์ม ส่วนปี 2564/65 และ 2565/66 ก็ไม่มีการชดเชยให้เกษตรกรสวนปาล์ม มันสำปะหลังและข้าวโพด

รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น ต่อการยกผลิตภาพของภาคเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางเดียวในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดแรงงาน เพิ่มผลผลิตและลดการใช้น้ำและทรัพยากรต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จจริง

  • การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน

การยกระดับคุณภาพการศึกษา ควรเริ่มจากการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้ทันสมัย เมื่อมีการพัฒนากรอบหลักสูตรบางส่วนขึ้นมา ฝ่ายการเมืองกลับห้ามนำหลักสูตรไปใช้ ซึ่งทำให้ประเทศเสียโอกาส ในการปรับหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย ส่วนปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรบางส่วนแต่ยังไม่รอบด้าน เช่น บุคลากร ไม่ได้พัฒนาครูให้สามารถตอบโจทย์การสอน เพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 มากนัก

สานต่อนโยบาย “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการศึกษา ช่วยกระจายอำนาจให้โรงเรียนมีอิสระในการจัดการศึกษา และใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น การดำเนินงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณบวกในบางด้าน เช่น ครูเห็นความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพมากขึ้น นักเรียนมีความสุขในการเรียนมากขึ้น และนักเรียนกลุ่มเรียนอ่อนเข้าใจในการเรียนมากขึ้น แม้ผลในการยกระดับผลสัมฤทธิ์โดยรวมจะยังไม่ชัดเจนนัก

ในด้านการป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน แม้กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศห้ามลงโทษนักเรียนด้วยความรุนแรงและยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน แต่ยังมีเหตุการณ์ครูกล้อนผมนักเรียนเพราะผมยาว หรือด่าทอนักเรียนด้วยถ้อยคำรุนแรง ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง

การสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดสรรเงินทุนเพิ่มเติมแก่นักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษ 3,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อลดการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มดังกล่าว

รัฐบาลยังได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถกู้เงินเพื่อเรียนรู้ทักษะในสาขาวิชาที่ขาดแคลน และยกระดับทักษะของตนผ่านหลักสูตรระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตามการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้ยืม จะทำให้เกิดปัญหาความยั่งยืนของกองทุนในอนาคต ทำให้รัฐบาลอาจต้องเพิ่มเงินให้แก่กองทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า

รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ

     1.เร่งปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้อิงกับสมรรถนะโดยเร็ว

     2.ปรับระบบการบริหารทรัพยากรด้านการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

     3.ประกาศนโยบายป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนและไม่ยอมรับความรุนแรงในสถานศึกษา ตลอดจนวางกลไกป้องกันการฝ่าฝืนเช่น จัดระบบรับเรื่องร้องเรียน 

     4.ปรับปรุงการบริหาร กยศ. ให้มีความยั่งยืนทางการเงินมากขึ้น

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล \"ประยุทธ์ 2\" แนะทางนโยบาย \"รัฐบาลใหม่\"

  • ผลงานของรัฐบาลด้านความ “ยั่งยืน” ประกอบด้วย

การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

กำหนดให้การต่อต้านทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยงบประมาณด้านต่อต้านทุจริตรวม 1.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2563–2566 ในขณะที่อันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของไทยกลับลดลงจากที่ 96 จาก 180 ประเทศในปี 2560 อยู่ที่อันดับ 101 ในปี 2565 จึงกล่าวได้ว่า งบประมาณที่ใช้จ่ายไป ไม่สามารถลดการทุจริตอย่างได้ผล

รัฐบาลมีผลงานแก้คอร์รัปชันเป็นรูปธรรม 2 เรื่อง ได้แก่ การปฏิรูปจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส และการ “กิโยตินกฎระเบียบ” (Regulatory Guillotine) ซึ่งเป็นการปฏิรูปกฎระเบียบครั้งใหญ่เพื่อลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ อันเป็นต้นตอสำคัญของคอร์รัปชัน ร่วมมือกับองค์กรภาคสังคมและภาคธุรกิจขยายการใช้มาตรการ “ข้อตกลงคุณธรรม” (Integrity Pact) เพื่อตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐที่มีมูลค่าสูง เพิ่มเติมจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 อีก 66 โครงการ รวมมูลค่างบประมาณ 4.16 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความพยายาม ในการปฏิรูปตำรวจและกองทัพ ซึ่งถูกตั้งคำถามด้านความโปร่งใสอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเกิดข่าวอื้อฉาว ทั้งที่การปฏิรูปตำรวจเป็นวาระสำคัญตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติเพื่อกำจัดการซื้อขายตำแหน่งและร่าง พ.ร.บ. การสอบสวนคดีอาญาเพื่อให้งานสอบสวนและการทำสำนวนคดีเป็นอิสระจากกัน

รัฐบาลประยุทธ์ 2 ใช้เวลาเกือบ 2 ปีทบทวนร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับอีกครั้งกว่า จะเสนอต่อรัฐสภาได้ในกลางปี 2565 สุดท้ายแล้วมีเพียงร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติผ่านรัฐสภาได้ในปลายปี 2565 การดำเนินการในรัฐบาลประยุทธ์ 2 จึงยังไม่ได้นำไปสู่การปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริง เนื่องจากขาดการปฏิรูปกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น รัฐบาลปล่อยให้เกิดกรณีทุจริตที่มีนายตำรวจพัวพันหลายกรณี อาทิ กรณี “ตั๋วช้าง” ส่วยรถบรรทุก และกรณีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์

ทั้งยังไม่แสดงถึงความพยายาม ที่จะปฏิรูปกองทัพให้มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้เช่น กองทัพขอผ่อนผัน ไม่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม ในโครงการจัดซื้ออาวุธ และเกิดข่าวการยักยอกเบี้ยเลี้ยงกำลังพล และการคุกคามทหารผู้เปิดโปงทุจริต

รัฐบาลใหม่ควรขยายผลข้อตกลงคุณธรรม ให้ครอบคลุมโครงการจัดซื้อจัดจ้างในวงกว้างขึ้นโดยเฉพาะโครงการที่มีมูลค่าสูง มีความเสี่ยงทุจริตสูงหรือต้องจัดซื้อจัดจ้างอย่างเจาะจง อาทิ งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การจัดซื้ออาวุธและการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ 

นอกจากนี้รัฐบาลใหม่ ควรเร่งปรับปรุงกฎระเบียบ เกี่ยวกับการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการขออนุญาตก่อสร้าง

รวมถึงควรเร่งสะสางปัญหาที่ค้างคาจากรัฐบาลประยุทธ์ 2 โดยเร่งปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น ร่าง พ.ร.บ. การสอบสวนคดีอาญา และออกกฎหมายลูกของ พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ เพื่อทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจโปร่งใสขึ้น และควรเร่งปฏิรูปการใช้งบประมาณของกองทัพให้สามารถตรวจสอบได้

เปิดบันทึก TDRI ประเมินผลงานรัฐบาล \"ประยุทธ์ 2\" แนะทางนโยบาย \"รัฐบาลใหม่\"

  • การคุ้มครองทางสังคม

ผลงานที่เด่นชัดที่สุดของรัฐบาลคือ การช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ที่ประสบปัญหาจากการระบาดของโควิด-19 สามารถลดผลกระทบทางลบต่อประชาชนจำนวนมาก เห็นได้จากสัดส่วนคนจนร้อยละ 6.8 ในปี 2563 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในปี 2562 ไม่มากนัก ทั้งที่เศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง การจ้างงานและรายได้ของประชาชนลดลงอย่างมาก โดยรัฐบาลใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งความช่วยเหลือและกระจายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพกว่าในอดีต

หากประเมินจากการริเริ่มนโยบายดังกล่าวในระดับโครงสร้าง ยังไม่มีความโดดเด่น ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็นผลงานของหน่วยราชการที่ดำเนินการตามแผนที่มีอยู่แล้วมากกว่าการผลักดันจากฝ่ายการเมือง ขาดนโยบายคุ้มครองเชิงรุก

  • การแก้ปัญหาแรงงาน

รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 2 ครั้งในปี 2562 และ 2565 ซึ่งทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำถูกปรับขึ้นเป็น 328-354 บาทในแต่ละพื้นที่ แต่ยังต่ำกว่าที่พรรคพลังประชารัฐ หาเสียงเลือกตั้ง ปี 62 สูงสุด 425 บาทต่อวัน ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันไม่สามารถช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลูกจ้างอีกจำนวนมาก ที่ได้รับค่าจ้างที่แท้จริงต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด เนื่องจากนายจ้างเอาค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มารวมอยู่ในค่าจ้างขั้นต่ำด้วย

  • นโยบายด้านสุขภาพ 

นโยบายสุขภาพส่วนใหญ่ ต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนๆ รวมรัฐบาลประยุทธ์ 1 มีนโยบายบางส่วนที่เสนอและดำเนินการโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่เฉพาะ เช่น สปสช. ที่เพิ่มบริการการแพทย์ทางไกล(Telemedicine) และให้ผู้ป่วยบางโรคสามารถไปรับยาที่ร้านขายยา และเพิ่มทางเลือกในการใช้เครื่องล้างไตทางช่องท้องอัตโนมัติ (APD) ที่บ้าน

นโยบายกัญชา เริ่มจากการใช้กัญชาทางการแพทย์ทั่วประเทศในปี 2562 และนำไปสู่การเปิดเสรีกัญชาเมื่อกลางปี 2565 จากภาวะสุญญากาศด้านกฎหมาย จนต้องกลับมากำหนดให้ช่อดอกกัญชาให้เป็นสมุนไพรควบคุมเมื่อปลายปี 2565

การรับมือโควิด-19 ของไทย ตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา ไม่ได้แตกต่างจากประเทศอื่นมากนัก มีการระบาดต่อเนื่องแล้วรุนแรงขึ้นมากในช่วงกลางปี 2564 จากสายพันธุ์เดลต้า และเกิดการระบาดรวดเร็วมากในช่วงต้นปี 2565 จากสายพันธุ์โอมิครอน หลังจากนั้นไทยก็ลดระดับการรับมือโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่กลางปี 2565 แต่โดยรวมแล้วประเทศไทยรับมือกับโควิด-19 ในภาพรวมได้ไม่ดีนัก ทำให้มีผลกระทบทางอ้อมที่รุนแรง

  • การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

เป้าหมายและยุทธศาสตร์ด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของรัฐบาล ยังขาดความชัดเจนมาก ทั้งในด้านการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อจูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการแก้ไขปัญหากฎระเบียบด้านการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในราคาเหมาะสม

ปัญหา PM2.5 รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้กำหนดให้การจัดการปัญหาดังกล่าว เป็นวาระแห่งชาติ และได้จัดทําแผนปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ปี 2562 มีตั้งคณะทำงานวิชาการเฉพาะกิจ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการไฟป่าและการเผาในที่โล่ง โดยใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ทราบอย่างชัดเจนว่า การเผาฟางและตอซังข้าวเป็นต้นเหตุอันดับสำคัญ รองลงมาคือข้าวโพด ส่วนอ้อยมีสัดส่วนที่น้อยกว่าที่เข้าใจ

คณะทำงานฯ ได้เสนอแนะนโยบายที่เป็นรูปธรรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่ปรากฏว่า มีการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว โดยรวมแล้ว รัฐบาลยังเน้นจัดการปัญหาเฉพาะหน้า ในแต่ละปีไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ในบทส่งท้าย ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปี รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้สร้างผลงานที่สำเร็จออกมาเป็นรูปธรรมไว้หลายด้าน และดำเนินโครงการจำนวนหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งสมควรได้รับการสานต่อ

ในทางกลับกัน รัฐบาลก็ดำเนินนโยบายอีกหลายด้านที่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งความเข้าใจผิด การกำหนดนโยบายโดยไม่ผ่านการปรึกษาหารืออย่างรอบด้าน การรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง แทนที่จะกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น การใช้กลไกของระบบราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นหลัก ในการขับเคลื่อนนโยบายทั้งที่มีประสิทธิภาพต่ำ ตลอดจนการที่นโยบายของรัฐบาลได้รับอิทธิพลจากกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม นโยบายเหล่านี้ สมควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งยกเลิกไปโดยรัฐบาลใหม่

อ่านรายละเอียดฉบับเต็ม