"ถ้าพรรคการเมืองในซีกฝ่ายค้านชัยชนะในการเลือกตั้ง 2566 ได้จริง ก็จะเป็นความท้าทายอย่างมากว่า พวกเขายังดำรงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยน "มรดกระบอบประยุทธ์" หรือไม่ "
ผลของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2566 จะเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 นั้น เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังรัฐประหาร 2557 จึงแทบไม่ต้องคาดเดาเลยว่า คณะรัฐประหารจะแพ้การเลือกตั้ง
ในครั้งนั้น คณะรัฐประหาร 2557 ดำเนินการทุกอย่าง โดยเฉพาะการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับการกลับสู่อำนาจด้วยการแปลงรัฐบาลทหารให้เป็น "รัฐบาลเลือกตั้ง"
สังคมไทยจึงเห็นวิธีการต่างๆ ที่ไม่ว่าจะฝืนกฎกติกาอย่างไร …
ไม่ว่าจะฝืนความรู้สึกของสังคมอย่างไร
แต่พวกเขาต้องทำเพื่อพาผู้นำรัฐประหารกลับสู่การมีอำนาจด้วยการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง
อันทำให้หลังเลือกตั้งได้เกิดสภาวะของการเป็น "รัฐบาลพันทาง" ที่อาศัยการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ ซึ่งก็คือการกำเนิดของ "รัฐบาลทหารแบบเลือกตั้ง" นั่นเอง
การจัดตั้ง "รัฐบาลทหารแบบเลือกตั้ง" คือ การปรับตัวของกลุ่มนักรัฐประหารที่ยอมที่จะลดแรงกดดันทางการเมือง โดยการเลือกตั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม และทำให้พวกเขามีอำนาจต่อไป
การเลือกตั้ง 2562 จึงไม่ใช่ "การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง" อย่างที่คาดหวัง แต่เป็นการทำให้ "โครงสร้างอำนาจเก่า" ดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างเงื่อนไขสำคัญ 5 ประการหลัก คือ
-การดำรงบทบาททหารไว้ในการเมือง เพื่อเป็นฐานค้ำจุนอำนาจของผู้นำรัฐประหารที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักการเมือง
-การดำรงทิศทางของการพัฒนาประเทศให้เป็นไปตามที่ผู้นำรัฐประหารต้องการ ด้วยการออกข้อกำหนดที่เรียกกันว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”
-การดำรงอำนาจของผู้นำรัฐประหารด้วยการสร้างและออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองของประเทศไทย เช่น กรณีบทบาทของวุฒิสภา
-การดำรงการควบคุมทางการเมืองผ่าน “องค์กรอิสระ” ตามรัฐธรรมนูญ ด้วยการที่คณะรัฐประหารเป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีบทบาทในองค์กรเหล่านี้ จนเกิดคำถามถึงความเป็นอิสระขององค์กร
-การขยายบทบาทของทหารในสังคม ผ่านการออกกฎหมาย กอ. รมน. เพื่อให้คณะรัฐประหารที่แปลงร่างเป็นรัฐบาล
นอกจากนั้น ยังมีกลไกในการจัดการกับปัญหาแรงต้านทางการเมืองในสังคม
ดังนั้น ผลพวงจาการจัดตั้ง "รัฐบาลทหารแบบเลือกตั้ง" ที่ผนวกเข้ากับระยะเวลาของการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานตั้งแต่รัฐประหารพฤษภาคม 2557 จนถึงการเลือกตั้งพฤษภาคม 2566 ในปัจจุบัน ได้กลายเป็นการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบประยุทธ์" (The Prayuth Regime) อย่างชัดเจน
ดังจะเห็นได้ว่า จากปี 2557 จนถึงปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งบุคลากรในองค์กรอิสระ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ ตุลาการ และพลเรือน อยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีคนเดียว อีกทั้ง เกิดการสร้างวัฒนธรรมการเมืองไทยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะต้องเรียกว่า "วัฒนธรรมการเมืองแบบประยุทธ์" ที่ไม่สนใจกระบวนการเมืองแบบรัฐสภา ไม่ให้ความสนใจกับการพัฒนาประชาธิปไตย และการดำรงอยู่ในอำนาจโดยปราศจาก "ความรับผิดชอบทางการเมือง" (political accountability) เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น นายกรัฐมนตรีจะอยู่เหนือความผิดเหล่านั้นทั้งปวง หรือเกิดสภาวะ "นายกรัฐมนตรีที่โค่นไม่ได้"
ในระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 ระบอบนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานของ "ระบอบอำนาจนิยมไทยยุคปัจจุบัน" ที่อำนาจไม่ได้ถูกสร้างผ่าน "อำนาจทหาร" เท่านั้น หากแต่ยังถูกสร้างผ่าน "อำนาจตุลาการ" ในรูปแบบขององค์กรอิสระ และอำนาจเช่นนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจาก "อำนาจทุนใหญ่" ที่ทำหน้าที่เป็น "เสาค้ำ" อย่างแข็งแรงให้แก่ระบอบประยุทธ์
ดังนั้น เมื่อการเลือกตั้ง 2566 เกิดขึ้น และหากพรรคการเมืองฝ่าย "อำนาจเก่า" ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนระบอบประยุทธ์ชนะแล้ว การจัดวางอนาคตของประเทศอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่ต้องมีข้อขบคิดมากมาย เพราะประเทศไม่ไปเกินกว่าสิ่งที่"ระบอบประยุทธ์"ได้กำหนดไว้
เนื่องจากสังคมไม่เคยเห็นข้อเสนอของการปรับเปลี่ยนจากพรรคการเมืองในฝ่ายนี้แต่อย่างใด แต่ถ้าพรรคการเมืองในซีกฝ่ายค้านชัยชนะในการเลือกตั้ง 2566 ได้จริง ก็จะเป็นความท้าทายอย่างมากว่า พวกเขายังดำรงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยน "มรดกระบอบประยุทธ์" หรือไม่
แต่ถ้าพวกเขาตัดสินใจทำแล้ว "ระบอบรัฐราชการ" ซึ่งเป็นการรวมกลไกทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ พลเรือน และตุลาการ ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จะทำตัวเป็น "ต้นไม้ใหญ่ล้มขวางถนน" ขัดขวางการ "ปฏิรูประบอบเก่า" ที่อยู่ภายใต้อำนาจและวัฒนธรรมทางการเมืองของระบอบประยุทธ์ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาอย่างไรหรือไม่
ฉะนั้น การเลือกตั้ง 2566 จึงท้าทายอย่างมากถึงการที่ผู้ชนะจะมาจากฝ่าย "เปลี่ยนสถานะเดิม" หรือจะมาจาก "ฝ่ายผู้ดำรงสถานะเดิม"
อีกทั้ง ถ้าฝ่ายผู้เปลี่ยนแปลงชนะแล้ว พวกเขาจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไร …
คำตอบที่ได้จะเป็นเครื่องชี้ทิศทางอนาคตของประเทศไทยอย่างแน่นอน!