28 มกราคม 2566 ที่อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคก้าวไกล ได้มีการเปิดแคมเปญ "กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม" โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบายพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสโลแกนการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” ว่า
ถ้าเราดูข่าวที่รวบรวมปัญหาประเทศย้อนหลังไป 20 ,30 ,40 ,50 ปีที่แล้ว จะพบว่าปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เราเผชิญมาหลายสิบปี แต่ถ้าเราต้องการประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม พรรคก้าวไกลเท่านั้นคือคำตอบ ตนเชื่อว่าเมื่อเราบอกว่าก้าวไกลต้องการสร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม
สำหรับคนบางกลุ่มฟังดูผิวเผินเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ผมอยากชวนทุกคนคิดในมุมกลับ ว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือประเทศไทยแบบเดิมๆ ต่างหาก หากไม่อยากวนอยู่กับปัญหาเดิมๆเหล่านี้ ก็ต้องเลือกคนที่จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง กาพรรคก้าวไกล เพื่อประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม เป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี และ มีอนาคต
นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ปราศรัยเปิดกลุ่มนโยบาย “การเมืองดี” ว่า ประเทศไทยที่การเมืองแบบเดิม ไม่เคยมีอะไรเป็นของประชาชน อำนาจไม่ใช่ของประชาชน ระบบราชการไม่ใช่ของระชาชน และชาติไม่ใช่ประชาชน แต่การเมืองดี ที่ก้าวไกลจะทำให้เกิดขึ้น
คือการเมืองที่ทำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน พร้อมชูนโบายครบเซ็ต ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ปฏิรูปกองทัพ-ตำรวจ-ราชการ-ดันเพดานเสรีภาพ แก้ ม.112-116-พ.ร.บ.คอมฯ พร้อมย้ำว่า ถ้าไม่แก้ปัญหาการเมืองก่อน ก็แก้ปัญหาปากท้องให้แก่ประชาชนไม่ได้
ขณะที่ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกลนำเสนอนโยบายปากท้องดี และด้านเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลหลายเรื่อง ซึ่งนโยบายเด่น เช่น ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็น 450 บาททันที และให้มีการขึ้นค่าแรงตามเงินเฟ้อทุกปี ต่อด้วยนโยบายอุดหนุนงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้ประชาชนในทุกเขตเมืองในประเทศไทยมีรถเมล์ไฟฟ้า
ส่วนนโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่จัดสรรให้ประชาชน โดยไม่ต้องมีการลงทะเบียนแย่งชิงกันอีกต่อไป เด็กเล็กได้ 1,200 บาท ผู้สูงวัยได้ 3,000 บาทต่อเดือน และยังมีนโยบายเร่งออกโฉนด 10 ล้านไร่ ยึดที่ สปก.จากนายทุนและเปลี่ยนเป็น สปก.ให้เกษตรกร
ส่วน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงวิสัยทัศน์ ในหัวข้อ “มีอนาคต” ว่า ประเทศไทยไม่ได้ต้องการผู้บริหารที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าซ้ำซากไปวัน ๆ แต่ต้องเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นโอกาสของอนาคต เปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นงาน อุตสาหกรรมใหม่ ๆ หรือ “สร้างงาน ซ่อมประเทศ” การจะสร้างงาน ซ่อมประเทศ การทำให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต
โดยทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ต้องปิดสวิตช์ 3 ป. เอามรดกของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมออกไป เพื่อเปิดไฟแห่งความหวังให้ประเทศ สร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ พร้อมตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน
“ถ้าประเทศไทยยังอยู่ภายใต้ 3 ป. การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต จะกลายเป็น การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร ถ้าการบริหารประเทศยังอยู่ในมือคนไม่กี่คน นี่คืออดีตที่เราต้องแก้ไขให้ได้ เพื่อที่จะไปสู่อนาคต ดังนั้น เป้าของสังคมไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ปิดสวิตช์ 3 ป. ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเปิดแสงสว่างให้ประเทศ ผมขอเขิญประชาชนทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค มาร่วมกันกับผม ผมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย” นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย