หลังจากเสมอกันอย่างสุดมันส์ 2-2 ในนัดแรกที่ฝรั่งเศส แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมเปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของโอลิมปิก ลียง ในศึกยูโรป้าลีกรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง คืนวันพฤหัสบดีนี้
ผู้ชนะในคู่นี้จะผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ไปพบกับผู้ชนะระหว่าง กลาสโกว์ เรนเจอร์ส หรือ แอธเลติก บิลเบา ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
อังเดร โอนาน่า มีประเด็นดราม่ากับเนมานยา มาติชก่อนเกมนัดแรก และฟอร์มของเจ้าตัวก็ไม่ได้ช่วยลบคำครหา เมื่อมีส่วนผิดพลาดถึงสองประตูที่ทำให้ลียงตามตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกม
โจชัว เซิร์คซี่ โหม่งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำในนาทีที่ 88 แต่อีกไม่กี่นาทีถัดมา ริยาน แชร์กี้ จอมทัพที่มีข่าวกับยูไนเต็ด ก็ลงโทษโอนาน่าที่รับบอลหลุดมือ ตะบันประตูตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลานาทีที่ 90+5
เกมล่าสุดในพรีเมียร์ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงย่ำแย่เมื่อโดนนิวคาสเซิลถล่ม 4-1 เป็นความพ่ายแพ้นัดที่ 14 ของฤดูกาล และทำให้พวกเขาการันตีจบฤดูกาลนี้ด้วยแต้มรวมที่ต่ำที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก
“ปีศาจแดง” รั้งอันดับ 14 มีเพียง 38 แต้มจาก 32 นัด เสี่ยงตกไปถึงอันดับ 17 เมื่อจบฤดูกาล โอกาสไปเล่นบอลยุโรปผ่านอันดับลีกแทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยระยะห่าง 10 แต้มจากท็อป 8 และห่าง 17 แต้มจากท็อป 5
ยูโรป้าลีกจึงกลายเป็นทางรอดเดียวสำหรับการคว้าตั๋วแชมเปียนส์ลีกของยูไนเต็ด โดยแม้จะแพ้ทีมฝรั่งเศสในบ้านสองครั้งหลังสุด (แพ้เปแอสเชปี 2019 และ 2020) แต่พวกเขายังไม่เคยแพ้ลียงจากการพบกัน 5 นัด (ชนะ 2 เสมอ 3) และยังเป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครในยูโรปาลีกฤดูกาลนี้ (ชนะ 6 เสมอ 5)
ด้าน ลียง ยังคงมีลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปรายการใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังเสมอนัดแรกได้สำเร็จ และตามด้วยชัยชนะเหนือโอแซร์ 3-1 ในลีก เอิง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
รายาน แชร์กี้, จอร์จส์ มิเคาตัดเซ่ และ อเล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์ ช่วยกันทำประตูให้ทีมของเปาโล ฟอนเซก้า ซึ่งปัจจุบันอยู่อันดับ 4 ของลีก และตามหลังมาร์กเซย อันดับ 3 เพียงแต้มเดียวในโควต้าแชมเปียนส์ลีก
ลียงตอนนี้ฟอร์มกำลังร้อนแรง ชนะ 7 จาก 9 เกมหลังสุดในทุกรายการ ยิงไป 24 ประตู และไม่แพ้ใครในเกมเยือนยูโรป้าลีก 12 นัดหลัง (ชนะ 9 เสมอ 3) นับตั้งแต่แพ้อตาลันต้า 1-0 เมื่อปี 2017
พวกเขายังมีสถิติยอดเยี่ยมเวลาเจอทีมอังกฤษนอกบ้าน โดยแพ้เพียงเกมเดียวจาก 9 นัดหลังสุดในยุโรป (แพ้เวสต์แฮม 3-0 ในปี 2022) แต่ไม่เคยเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้เลยจากการพบกัน 5 ครั้ง และแพ้ทั้งสองครั้งที่เยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด (2-1 ปี 2004 และ 1-0 ปี 2008) อีกทั้งยังไม่เคยผ่านเข้ารอบได้หากเสมอนัดแรกในบ้านจาก 9 ครั้งที่ผ่านมา
มีปัญหาบาดเจ็บหลายราย โดยโจชัว เซิร์คซี่ ที่เจ็บเอ็นหลังเข่า จะพลาดลงเล่นหลายสัปดาห์ เช่นเดียวกับมัทไธส์ เดอ ลิกต์, อาหมัด ดิยัลโล่, เอเดน เฮฟเว่น (ข้อเท้า), ลิซานโดร มาร์ติเนซ (เข่า), จอนนี่ อีแวนส์ (หลัง) และโทบี้ คอลลิเยอร์ (ขา)
ชิโด โอบี-มาร์ติน กองหน้าดาวรุ่งไม่สามารถลงเล่นในรายการยุโรป ทำให้ราสมุส ฮอยลุนด์น่าจะเป็นกองหน้าตัวเป้าคนเดียว โดยมีบรูโน่ แฟร์นันด์ส และอเลฆานโดร การ์นาโช่ สนับสนุนเกมรุก
โอนาน่าถูกดร็อปจากทีมเมื่อสุดสัปดาห์เพื่อให้พักใจ แต่คาดว่าจะกลับมายืนตัวจริงแทนอัลตาย บายินดีร์ ขณะที่แฮร์รี แม็คไกวร์ และแพทริก ดอร์กู น่าจะได้ออกสตาร์ตในแนวรับอีกครั้ง ส่วนกองกลางเป็นการแย่งตำแหน่งกันระหว่าง กาเซมิโร่, เมสัน เมาท์ และมานูเอล อูการ์เต้
จะไม่มีเออร์เนสต์ นูอามาห์ ที่บาดเจ็บ ACL พักยาวทั้งฤดูกาล รวมถึงมาลิก โฟฟาน่า ที่เจ็บเข่า
แชร์กี้ ยังคงเป็นหัวใจในแนวรุก และคาดว่าจะประสานงานกับติอาโก้ อัลมาด้า และคนใดคนหนึ่งระหว่าง ลากาแซ็ตต์ หรือมิเคาตัดเซ่ ส่วนแดนกลางอาจมีการปรับ โดยมาติชมีโอกาสหลุดจาก 11 ตัวจริง เปิดทางให้ ชอร์กดาน แวร์ตูต์ และพอล อากูโอกู ลงมาแทน ขณะที่แนวรับจะได้ เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส, คลินตัน มาต้า และนิโกลัส ตายาฟิโก้ กลับมาลงสนาม