แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ซื้อตั๋วเข้าชมเกมมาตลอดทั้งฤดูกาลทราบดีว่าวันนี้จะมาถึง ตั้งแต่ที่ "อีนิออส" และ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษเข้ามามีบทบาทในการบริหาร โดยเป้าหมายหลักของพวกเขาคือการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้
เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ กล่าวถึงปัญหาทางการเงินของยูไนเต็ดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างว่า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน สโมสรอาจล้มละลายภายในสิ้นปีที่ผ่านมา
นโยบายเหล่านี้รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตั้งแต่การตัดบัตรเครดิตของบริษัท ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทูตกิตติมศักดิ์ เช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และการปลดพนักงานสูงถึง 450 คน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็น "สโมสรที่ทำกำไรสูงที่สุดในโลก" ในอนาคต
วิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มรายได้ของสโมสรขนาดใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือการประสบความสำเร็จในสนาม การผ่านเข้ารอบแชมเปียนส์ลีกช่วยเพิ่มรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดและการแข่งขัน นอกจากนี้ เซอร์จิม ยังมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการซื้อ-ขายนักเตะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยูไนเต็ดใช้เงินมหาศาลไปกับนักเตะที่ไม่สามารถสร้างผลงานที่คุ้มค่ากับค่าตัวและค่าเหนื่อยที่ได้รับ
ปัญหาหลักอีกอย่างหนึ่งคือภาระหนี้สินของสโมสร ตั้งแต่ครอบครัวเกลเซอร์เข้ามาซื้อสโมสรในปี 2005 ยูไนเต็ดต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมกันเกิน 1 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นภาระทางการเงินมหาศาล
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างทีม การพัฒนาโมเดลการซื้อขายนักเตะ และการกลับสู่แชมเปียนส์ลีกไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน ทำให้เซอร์จิมต้องหาทางอื่นในการเพิ่มกระแสเงินสดเข้าสู่สโมสร
ภายใต้การบริหารของเกลเซอร์ ยูไนเต็ดพยายามตรึงราคาตั๋วเอาไว้ โดยไม่ขึ้นราคามานานถึง 11 ปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านจากแฟนบอลมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาสามารถพึ่งพารายได้จากสปอนเซอร์ที่มั่นคงได้
แต่เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มีแนวทางที่แตกต่างออกไป โดยมุ่งเน้นไปที่การควบคุมต้นทุนแทนการพึ่งพาสปอนเซอร์เพียงอย่างเดียว เขามองว่าการจ่ายค่าจ้างนักเตะที่สูงเกินไป หรือการจ่ายเงินให้กับอดีตผู้จัดการทีมเพื่อเป็นทูตของสโมสรเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสโมสรถึงเริ่มใช้แนวทางใหม่ในสัญญานักเตะ ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับผลงานมากขึ้น
สโมสรประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ราคาตั๋วฤดูกาลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถแบกรับต้นทุนการดำเนินงานของวันแข่งขันได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสโมสรกว่า 15 ล้านปอนด์ต่อปี
นอกจากนี้ ยูไนเต็ดจะใช้ระบบจัดหมวดหมู่ราคาตั๋วสำหรับผู้ที่ไม่ได้ถือบัตรรายปี (ตั๋วปี) โดยกำหนดราคาตามความต้องการของตลาด แมตช์ที่มีทีมใหญ่ ๆ เช่นการเจอกับ ลิเวอร์พูล หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมีราคาสูงกว่า ส่วนเกมที่พบกับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นอาจมีราคาถูกลง (ยกเว้นในกรณีของลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เป็นคู่แข่งดั้งเดิมของสโมสร ซึ่งอาจถูกจัดให้อยู่ในหมวดราคาสูงกว่า)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซัพพอร์ตเตอร์ ทรัสต์ (MUST) ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนบอลหลักของ แมนฯ ยูไนเต็ด แสดงความกังวลเกี่ยวกับโมเดลการจัดหมวดหมู่ตั๋ว และเรียกร้องให้มีการจำกัดจำนวนเกมที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดราคาสูงขึ้น รวมถึงประเด็นการขึ้นค่าจอดรถ 15% และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 10 ปอนด์หากต้องการคืนตั๋วให้สโมสรน้อยกว่า 2 สัปดาห์ก่อนวันแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเปิดเผยว่าสโมสรเคยพิจารณาขึ้นราคาตั๋วสูงถึง 20% มาแล้ว แต่การล็อบบี้และเจรจาจากคณะกรรมการที่ปรึกษาแฟนบอล (FAB) ช่วยลดอัตราการขึ้นราคาลงมาที่ 5% ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่สโมสรอื่น ๆ เช่น นิวคาสเซิล และไบรท์ตัน ใช้เช่นกัน ขณะที่บางสโมสร เช่น สเปอร์ส และลิเวอร์พูล ยังคงตรึงราคาตั๋วปีไว้
แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมต้นทุนในทุกส่วน ตั้งแต่การปลดพนักงาน ลดค่าใช้จ่ายของทีม และขึ้นราคาตั๋ว แต่เจ้าของสโมสรรายใหญ่ที่สุดอย่างครอบครัวเกลเซอร์กลับไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังคงได้รับเงินจากการขายหุ้นและเงินปันผลรวมกันกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร
ดังนั้น แม้ว่าเซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงโครงสร้างการเงินของยูไนเต็ดให้ยั่งยืนมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว แฟนบอลจำนวนไม่น้อยยังคงมองว่า ตราบใดที่ตระกูลเกลเซอร์ยังคงเป็นเจ้าของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยังคงอยู่ภายใต้ภาระทางการเงินที่หนักหน่วงต่อไป
...
*** เรียบเรียงจาก Explaining Man United’s ticket price rise – and how a much bigger increase was avoided ใน The Athletic