อาร์เซนอล พลาดโอกาสทำแต้มไล่ล่าตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก หลังทำได้เพียงบุกเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ต้องการชัยชนะเพื่อกดดันลิเวอร์พูล ซึ่งชนะเซาแธมป์ตัน 3-1 เมื่อวันเสาร์และนำห่างถึง 16 แต้ม อย่างไรก็ตาม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดฟรีคิกสุดสวยพาทีมเจ้าบ้านขึ้นนำจากโอกาสยิงตรงกรอบครั้งแรกของพวกเขา
อาร์เซนอลมาตามตีเสมอได้ในนาทีที่ 74 จากลูกยิงของ ดีแคลน ไรซ์ แต่ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายที่เกือบคว้าชัยในช่วงท้ายเกม
หลังจบเกม ยูไนเต็ดรั้งอันดับ 14 มี 34 คะแนน ส่วนอาร์เซนอลตามหลังลิเวอร์พูลถึง 15 แต้ม โดยทีมหงส์แดงต้องการอีกเพียง 16 คะแนนจาก 9 นัดสุดท้ายเพื่อการันตีแชมป์
อาร์เซนอลพยายามบุกกดดันในครึ่งแรก แต่นอกจากลูกยิงของ มิเกล เมริโน ที่เฉี่ยวเสาออกไป พวกเขายังสร้างโอกาสจะแจ้งไม่ได้มากนัก
เลอันโดร ทรอสซาร์ ยิงไกลออกหลังไป ก่อนจะเกือบได้โอกาสทองจากลูกจ่ายของ มาร์ติน โอเดการ์ด แต่เจ้าตัวควบคุมบอลไม่อยู่ ทว่าเป็นจังหวะทำฟาวล์ของเขาต่อ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ที่นำไปสู่การเสียฟรีคิก และแฟร์นันเดสก็ซัดเข้าไปอย่างเฉียบขาด
ยูไนเต็ดเกือบบวกเพิ่มต้นครึ่งหลัง แต่ ดาบิด รายา เซฟลูกยิงของ นูสแซร์ มาซราวี และ โยชัว เซิร์กซี ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
สุดท้าย อาร์เซนอลตีเสมอได้เมื่อ ยูร์เรียน ทิมเบอร์ ไหลบอลให้ไรซ์ยิงเช็ดเสาเข้าไปอย่างสุดสวยในนาทีที่ 74 อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพลิกแซงได้ และเกือบเสียประตูช่วงทดเวลา หากไม่ใช่เพราะรายาที่เซฟลูกยิงของบรูโน่ได้อย่างน่าทึ่ง
หลังเพิ่งเสมอเรอัล โซเซียดาด 1-1 ในยูโรป้าลีกเมื่อวันพฤหัสบดี รูเบน อโมริม กุนซือปีศาจแดงยอมรับว่าเป้าหมายของทีมในเกมนี้คือ "เอาตัวรอด"
ยูไนเต็ดทำผลงานได้ดีตลอด 75 นาทีแรก โดยปิดพื้นที่ไม่ให้อาร์เซนอลเล่นง่าย และบรูโน่ แฟร์นันด์ส กดฟรีคิกเป็นประตูที่สองจากสามเกมลีกหลังสุดของเขา
แม้จะมีโอกาสทำประตูเพิ่ม แต่ปีศาจแดงเริ่มอ่อนแรงช่วงท้ายเกม และสุดท้ายต้องแบ่งแต้มไป โดยมีผู้เล่นสำรองส่วนใหญ่เป็นดาวรุ่งที่ไม่เคยเล่นพรีเมียร์ลีกมาก่อน
พวกเขาหวังว่าจะได้ผู้เล่นตัวหลักบางรายกลับมาสำหรับเกมเลกสองกับโซเซียดาดในวันพฤหัสบดี ก่อนบุกเยือนเลสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังหนีตกชั้นในวันอาทิตย์หน้า
ก่อนเกมนี้ อาร์เซนอลเพิ่งเจอปัญหาปืนฝืดในลีก หลังแพ้เวสต์แฮม 0-1 และเสมอน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-0 โดยพวกเขามีโอกาสยิงตรงกรอบเพียง 3 ครั้งจากสองเกมดังกล่าว
แม้จะระเบิดฟอร์มถล่มพีเอสวี 7-1 ในแชมเปียนส์ลีกเมื่อกลางสัปดาห์ แต่ปัญหาเกมรุกก็กลับมาเล่นงานพวกเขาอีกครั้งที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
มิเกล เมริโน ซึ่งถูกดันมาเล่นหน้าเป้าชั่วคราว ไม่สามารถหาพื้นที่เจาะแนวรับ 5 คนของยูไนเต็ดได้ ทำให้อาร์เซนอลครองบอลได้มากแต่ขาดความอันตรายในการเข้าทำ
แม้ว่าไรซ์จะจุดประกายความหวัง แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างโอกาสจะแจ้งเพิ่มได้ และหากไม่ใช่เพราะฟอร์มสุดยอดของรายา อาร์เซนอลอาจกลับออกไปแบบมือเปล่า
การเก็บได้เพียง 2 แต้มจาก 3 เกมลีกหลังสุด ทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ของพวกเขาริบหรี่ลงไปอีก ลิเวอร์พูลต้องการอีกเพียง 16 แต้มจาก 9 นัดสุดท้าย และอาจคว้าแชมป์ได้ก่อนเปิดบ้านเจออาร์เซนอลในสัปดาห์ที่ 36
"เราทำได้ดีนะ แน่นอนว่าเราไม่ต้องการตั้งรับมากขนาดนี้และปล่อยให้อาร์เซนอลครองบอลตลอด เมื่อคุณเป็นโค้ชแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณไม่ควรเล่นแบบนี้บ่อย ๆ แต่บางครั้งคุณต้องยอมรับความจริงและทำสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม" รูเบน อโมริม กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด
"น่าผิดหวังที่เราไม่ชนะ ทั้งที่เราครองเกมและสร้างโอกาสได้เยอะในครึ่งแรก เราเสียบอลง่าย ๆ แล้วก็มาเสียฟรีคิกให้พวกเขาทำประตู พอครึ่งหลังพวกเขาเริ่มล้า เราควรจะปิดเกมให้ได้" มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ อาร์เซนอล
ส่วนผลคู่อื่น มาร์ก กูกูเรย่า ซัดประตูชัยในนาทีที่ 60 ช่วยให้เชลซีเอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังจากที่จุดโทษของโคล พาล์มเมอร์ในครึ่งแรกถูกเซฟไว้ได้
ชัยชนะนัดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้เชลซีได้กลับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลหน้า พร้อมขยับอันดับแซงหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าที่พลาดท่าพ่ายให้กับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1 ในวันก่อนหน้า
เชลซี ซึ่งเคยคว้าแชมป์ยุโรปในปี 2021 พลาดการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์นี้มาแล้วสองปีติดต่อกัน แต่ทีมของเอนโซ มาเรสก้า ฉวยโอกาสจากความพ่ายแพ้ของแมนฯ ซิตี้ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการเก็บชัยชนะเหนือเลสเตอร์ ทีมที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้น พร้อมทะยานขึ้นสู่ท็อปโฟร์ของตาราง
ลูกยิงไกลของกูกูเรย่าถูกซัดเรียดพุ่งเสียบมุม ผ่านมือ แมดส์ แฮร์มันเซ่น นายทวารของเลสเตอร์เข้าไปอย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านั้น แฮร์มันเซ่นเคยเป็นฮีโร่ของทีมเยือน เมื่อพุ่งปัดจุดโทษของพาล์มเมอร์ในนาทีที่ 22 นับเป็นครั้งแรกที่พาล์มเมอร์ยิงจุดโทษพลาดในพรีเมียร์ลีก หลังจากสถิติ 12 ครั้งก่อนหน้านี้ไม่เคยพลาดเลย โดยสถิติดังกล่าวถือเป็นสถิติสูงสุดของลีก ตามข้อมูลจาก Opta
ซน ฮึง-มิน ซัดจุดโทษช่วงท้ายเกม ช่วยให้ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ คว้าผลเสมอแบบสุดระทึก หลังจากบอร์นมัธที่กำลังไล่ล่าพื้นที่แชมเปียนส์ลีก เป็นฝ่ายสร้างโอกาสได้มากกว่าในเกมนี้
มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์ ยิงให้ทีมเยือนขึ้นนำในนาทีที่ 42 ก่อนที่เอวานิลซอนจะบวกเพิ่มอีกลูกในนาทีที่ 65 ขณะที่จัสติน ไคลเวิร์ต ก็เกือบทำประตูได้แต่ยิงไปชนเสา
อย่างไรก็ตาม สเปอร์สเริ่มต้นการคัมแบ็กในนาทีที่ 67 เมื่อพาเป้ ซาร์ เปิดบอลผิดเหลี่ยม แต่กลายเป็นลูกยิงที่มุดเข้าประตูไป ทำให้ทีมมีความหวังอีกครั้ง
และสุดท้าย ความผิดพลาดของ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ที่ทำฟาวล์ใส่ซนในกรอบเขตโทษ นำไปสู่จุดโทษตีเสมอ ซึ่งกัปตันทีมชาติเกาหลีใต้รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ช่วยให้สเปอร์สแบ่งแต้มได้สำเร็จ