จากการที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศปลด เอริค เทน ฮาก ออกจากตำแหน่งกุนซือ หลังพาทีมร่วงไปอยู่อันดับที่ 14 และพ่ายแพ้ในลีกไปแล้วถึง 4 จาก 9 นัดแรก พร้อมแต่งตั้ง "รุด ฟาน นิสเตลรอย" อดีตดาวยิงระดับตำนานของทีมที่เป็นผู้ช่วย ให้ขึ้นมากุมบังเหียนชั่วคราวจนกว่าจะได้กุนซือใหม่
แน่นอนว่าสำหรับสาวก "เร้ด เดวิลส์" รวมถึงแฟนบอลส่วนใหญ่ต่างก็คุ้นกับชื่อของ รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นอย่างดี ในฐานะดาวยิงเจ้าของสถิติ 150 ประตูจากการลงสนาม 219 นัด ในช่วงที่ค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด 5 ฤดูกาล (2001-2006) พร้อมพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ อย่างละสมัย แต่ในฐานะของการเป็นโค้ชยังไม่มีใครเห็นผลงานของเจ้าตัวมากนักเนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์
รุด ฟาน นิสเตลรอย แขวนสตั๊ดในเดือน พ.ค. 2012 ขณะที่อายุได้ 35 ปี โดยสโมสรสุดท้ายของเขาคือ มาลาก้า ในลีกสเปน และไม่นานหลังจากเลิกเล่น เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการโค้ช โดยบทบาทแรกของเขาคือการไปเป็นโค้ชในทีมเยาวชนของ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีในฤดูกาล 2013/14
ต่อมาในเดือนมีนาคม 2014 กุส ฮิดดิ้งค์ ตำนานกุนซือชาวดัตช์ ได้ชักชวนเจ้าตัวและ แดนนี่ บลินด์ ให้เข้าไปเป็นทีมสต๊าฟฟ์ของเขาในทีมชาติเนเธอร์แลนด์หลังจบฟุตบอลโลก 2014 แต่ก็ทำงานได้ไม่นานเนื่องจาก ฮิดดิ้งค์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในกลางปี 2015 จากความล้มเหลวในศึกยูโร 2016 รอบคัดเลือกที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ทำให้ รุด ฟาน นิสเตลรอย ต้องออกจากงานนี้ไปด้วย
ในเดือน ก.พ. 2016 ฟาน นิสเตลรอย กลับมาที่ พีเอสวี อีกครั้งเพื่อทำหน้าที่โค้ชกองหน้าสำหรับทีมเยาวชน โดยเขาทำหน้าที่ดูแลทีม U17, U19 และทีมสำรองของ พีเอสวี ก่อนที่ในเดือน มิ.ย. 2018 เขาจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าโค้ชทีม U19 แทนที่ มาร์ค ฟาน บอมเมล ที่ได้ขึ้นไปดูแลทีมชุดใหญ่
จากนั้น ฟาน นิสเตลรอย ก็ร่วมทีมโค้ชทีมชาติเนเธอร์แลนด์อีกครั้งในเดือน ธ.ค. 2019 เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ยูโร 2020 ซึ่งเป็นบทบาทที่เขาทำควบคู่กับตำแหน่งผู้จัดการทีมเยาวชนของ พีเอสวี ต่อมาในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 เขาได้เลื่อนขึ้นมาคุมทีมสำรองของสโมสรในการแข่งขัน ดัตช์ แชมเปี้ยนชิพ ที่ต้องแข่งขันกับทีมชุดใหญ่
เมื่อ โรเจอร์ ชมิดท์ ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชของ พีเอสวี ในเดือน มี.ค. 2022 ฟาน นิสเตลรอย ก็ได้เซ็นสัญญา 3 ปีเพื่อเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นบทบาทงานโค้ชชุดใหญ่เต็มตัวครั้งแรกของเขา ความสำเร็จครั้งแรกของเขาคือการคว้าแชมป์ KNVB Cup หรือเอฟเอคัพของเนเธอร์แลนด์ในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งเอาชนะ อาแจ็กซ์ ในการดวลจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศ รวมถึงชัยชนะเหนือ เฟเยนูร์ด ในเดือน ส.ค. 2023 คว้าแชมป์ Johan Cruyff Shield (คอมมูนิตี้ ชิลด์ ของเนเธอร์แลนด์) เขายังพา พีเอสวี จบรองแชมป์ลีกในฤดูกาล 2022/23 ก่อนลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนหนึ่งนัดก่อนจบฤดูกาล โดยให้เหตุผลว่า “ขาดการสนับสนุนที่เพียงพอภายในสโมสร” ซึ่งมีรายงานว่าเจ้าตัวไม่พอใจที่บอร์ดบริหารตัดสินใจขายซูเปอร์สตาร์ตัวเก่งของทีมอย่าง โคดี้ กัคโป ไปให้ ลิเวอร์พูล โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากตนเองก่อน
รุด ฟาน นิสเตลรอย มักจะกล่าวถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ แมนฯยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาการโค้ชของเขา เขากล่าวกับ Coaches Voice ในเดือน มิ.ย. 2016 ว่า “ผมรักเกมฟุตบอล และผมชอบการเล่นในแบบที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ใน แมนฯยูไนเต็ด เซอร์อเล็กซ์มักจะกระตุ้นให้เราเล่นไปข้างหน้า มองไปข้างหน้า และพยายามยิงประตู ซึ่งในฐานะผู้เล่น ผมรู้สึกชอบวิธีนั้น และผมต้องการส่งต่อความรู้สึกแบบเดียวกันนี้ให้กับทีมและผู้เล่นของผม”
ในช่วงที่ ฟาน นิสเตลรอย คุมทีม พีเอสวี ช่วงแรกๆ เขามีการปรับเปลี่ยนแผนการเล่นบ่อยครั้ง โดยมักเปลี่ยนแท็กติกระหว่างรูปแบบ 4-3-3 และ 4-2-3-1 ในฤดูกาล 2022/23 และบางครั้งยังใช้รูปแบบ 4-4-2 เมื่อเจอกับทีมใหญ่ในประเทศอย่าง เฟเยนูร์ด และ อาแจ็กซ์
การเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของ พีเอสวี ทำให้เขาสามารถสร้างแนวทางการเล่นของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยในการคุมทีมช่วงหลังๆ เมื่อทีมได้ครองบอล เขานิยมใช้แผน 3-4-2-1 โดยให้ฟูลแบ็กหนึ่งคนยืนสูงและกว้างเพื่อสร้างจำนวนผู้เล่นที่มากกว่าในด้านหนึ่ง ในขณะที่ฟูลแบ็กอีกคนจะถอยมาเสริมแนวรับเพื่อให้กลายเป็นแบ็กสามคน เขายังให้ความสำคัญกับระยะห่างระหว่างผู้เล่นเมื่อครองบอล เพื่อควบคุมและรักษาการครองบอลแทนการโจมตีที่รวดเร็ว ส่วนในการป้องกัน ฟาน นิสเตลรอย เน้นความกระชับในแดนกลางเพื่อลดพื้นที่และบังคับให้คู่แข่งต้องขยับไปเล่นริมเส้น (ที่ป้องกันในพื้นที่สุดท้ายได้ง่ายกว่า) ดังนั้นเขาจึงมักเลือกเซ็นเตอร์แบ็กที่แข็งแกร่งเพื่อรับมือกับการครอสจากด้านข้าง
และหลังจากเข้ามารับงานผู้ช่วยกุนซือของ แมนฯยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย จะได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะกุนซือใหญ่ "ปีศาจแดง" ซึ่งแม้จะเป็นเพียงงานรักษาการ แต่หากเจ้าตัวทำได้ดีในช่วงเวลาที่มีอยู่ โอกาสที่จะเติบโตในเส้นทางนี้ย่อมเปิดกว้างขึ้นอีกมากอย่างแน่นอน