ฤดูกาล 2023-24 "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมมหาเศรษฐีแห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส กลายเป็นทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และกลายเป็นทีมเดียวจาก 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่ยังมีลุ้นคว้า 4 แชมป์อยู่ในเวลานี้
โดยก่อนหน้านี้ เปแอสเช เพิ่งการันตีการคว้าแชมป์ ลีกเอิง มาได้ หลังคู่แข่งอย่าง โมนาโก พลาดท่าพ่าย โอลิมปิก ลียง 2-3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตามหลัง เปแอสเช ถึง 12 แต้ม ขณะที่เหลือการแข่งขันเพียง 3 แมตช์ ไม่มีทางเก็บคะแนนไล่ทันแล้ว และนั่นทำให้ ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ คว้าแชมป์ลีกเอิงเป็นสมัยที่ 12 รวมถึงเป็นแชมป์ที่ 2 ของปีนี้ ต่อจากถ้วย เฟรนช์ ซูเปอร์คัพ ที่ได้มาตั้งแต่เดือน ม.ค.
นอกจากนี้ พวกเขายังผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอล เฟรนช์ คัพ ได้แล้วด้วย โดยจะเจอกับ ลียง ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ส่วนถ้วยใบสุดท้ายที่มีลุ้นก็คือในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่มีคิวเจอ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในรอบรองชนะเลิศนัดแรก คืนนี้
พวกเขากลับมาร้อนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร?
ชื่อของ "หลุยส์ เอ็นริเก้" ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกุนซือระดับหัวแถวของโลก ตั้งแต่สมัยที่พา บาร์เซโลน่า กวาดความสำเร็จถึง 9 แชมป์ระหว่างปี 2014-2017 ซึ่งรวมถึงถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย
อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาต้องมัวหมองจากผลงานการคุมทีมชาติสเปน เมื่อเจ้าตัวพา "กระทิงดุ" เก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียวจาก 4 เกมในฟุตบอลโลกปี 2022 และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของทีมรองบ่อนอย่าง โมร็อกโก จนหลายคนสบประมาทว่า ที่เจ้าตัวเคยกวาดแชมป์เป็นว่าเล่นสมัยคุม บาร์ซ่า ก็เพราะทีมมี ลิโอเนล เมสซี่ อยู่เท่านั้นเอง
ในขณะเดียวกัน เปแอสเช ก็กำลังมุ่งมั่นที่จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่ หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าการทุ่มเงินดึงตัวซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเข้ามาอยู่ในทีมแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ทีมไปถึงฝั่งฝันในถ้วยยุโรปได้
โดย เปแอสเช ที่นำทัพโดย เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี่ และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แม้จะคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่กลับพลาดท่าตกรอบอย่างรวดเร็วในฟุตบอลถ้วย ทั้งศึกในประเทศอย่าง เฟรนช์ คัพ และศึกใหญ่อย่างยูซีแอล ภายใต้การคุมทัพของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และ คริสตอฟ กัลติเย่ร์
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้ง หลุยส์ เอ็นริเก้ และ เปแอสเช โคจรมาร่วมงานกัน
หลายปีที่ผ่านมา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถูกวิจารณ์อยู่เสมอในประเด็นที่มีแต่ซูเปอร์สตาร์ล้นทีม แต่กลับไม่สามารถประสานงานกันได้ ต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างโชว์ จนไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างที่ควร
มาในปีนี้ เปแอสเช จัดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปิดฤดูกาล ซูเปอร์สตาร์ของทีมอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์, เซร์คิโอ รามอส, เมาโร อิคาร์ดี้, มาร์โก แวร์รัตติ และอีกนับสิบราย ถูกปล่อยตัวออกจากทีม ขณะเดียวกันก็เสริมทัพด้วยนักเตะดาวรุ่งอายุน้อยอย่าง มานูเอล อูการ์เต้ (สปอร์ติ้ง ลิสบอน), กอนซาโล่ รามอส (เบนฟิก้า), แบรดลี่ย์ บาร์กโกล่า (ลียง) แถมยังได้ อุสมาน เดมเบเล่ มาจาก บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวแค่ 50 ล้านยูโร
หลุยส์ เอ็นริเก้ ค่อยๆทำให้นักเตะกลับมาเล่นเป็นทีมได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ใช้แท็กติกที่สามารถยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ จัดการโรเตชั่นอย่างเหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลงโชว์ฝีเท้า และนั่นก็ทำให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน
เอ็นริเก้ ยังจัดการปรับเปลี่ยนนักเตะหลายคนให้ทำผลงานได้ดีขึ้น เช่น มานูเอล อูการ์เต้ ที่เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเป็นกองกลางตัวสำรองของทีม แต่เอ็นริเก้สังเกตเห็นว่า วิตินญ่า เล่นบอลจากแดนหลังได้ดีกว่า อูการ์เต้ ซึ่งเป็นกองกลางตัวรับธรรมชาติ ดังนั้น เอ็นริเก้ จึงเปลี่ยนจากการใช้ วิตินญ่า ที่ปกติเล่นแบบบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ มาเป็นเพลย์เมคเกอร์แนวลึก (Deep Lying Playmaker) หน้าแนวรับ และวิสัยทัศน์และทักษะการจ่ายบอลของ วิตินญ่า ก็ช่วยให้เปแอสเชคุมเกมกลางสนามได้ดีขึ้น
ในทำนองเดียวกัน เอ็นริเก้ ยังโชว์ความสามารถในการปรับแท็กติกไปตามสถานการณ์อย่างรวดเร็วได้ด้วย เช่นการสังเกตเห็นว่า ลูคัส เบรัลโด้ ประสบปัญหาในการรับมือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในเลกแรกของรอบก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกกับบาร์เซโลนา ทำให้เลกที่สอง เขาจึงปรับเปลี่ยนมาใช้งาน มาร์ควินญอส และ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ที่มีประสบการณ์มากกว่าจัดการกับ "เลวาน" แทน ผลคือ เปแอสเชบุกชนะ 4-1 พลิกสถานการณ์จากการแพ้ในบ้าน 2-3 ในเลกแรกและผ่านเข้ารอบได้ในที่สุด
เมื่อดูภาพรวมทั้งฤดูกาล เปแอสเช เล่นโดยใช้ทั้งแบ็กโฟร์และแบ็กทรี ส่วนเกมรุกก็มีการปรับเปลี่ยน ใช้ทั้งกองหน้าคนเดียวแบบ 4-2-3-1 กองหน้าสามคนในระบบ 4-3-3 รวมถึงกองหน้าคู่ในบางเกมด้วย
มาร์ควินญอส, ลูกัส แอร์กน็องเดซ และ ลูคัส เบรัลโด้ ถูกใช้เป็นทั้งเซ็นเตอร์แบ็กและฟูลแบ็กในฤดูกาลนี้, คาร์ลอส โซแลร์ และ วาร์เรน ซาอีร์-เอเมรี เป็นกองกลาง แต่บางเกมต้องลงเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา, อี คังอิน เล่นทั้งปีกและกองกลาง เช่นเดียวกับ อุสมาน เดมเบเล่ ปีกทีมชาติฝรั่งเศส ที่บางเกมก็ถูกปรับมาเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ช่วยให้เอ็นริเก้หมุนเวียนทีม ทำการทดลองด้านแท็กติก และสร้างปัญหาให้กับคู่ต่อสู้อย่างมากเพราะไม่สามารถจับทางได้เลยว่าพวกเขาจะเล่นแบบใด
หลุยส์ เอ็นริเก้ ยังจัดการกับสถานการณ์ที่กำลังจะเสียซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 ของทีมอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (กำลังจะหมดสัญญาหลังจบซีซั่นนี้) อย่างได้ผล มีการจับเป็นตัวสำรองเป็นระยะเพื่อทดลองแท็กติกที่เตรียมจะใช้ในฤดูกาลหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้ เอ็มบัปเป้ ฉายแสงอย่างเต็มที่ในยามที่ได้ลงสนาม โดยปัจจุบัน ดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้ซัดไปแล้ว 26 ประตู นำโด่งเป็นดาวซัลโวลีกเอิง นำหน้า โจนาธาน ดาวิด ดาวยิงของ ลีลล์ ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึง 9 ลูก
และทั้งหมดที่กล่าวมา จึงทำให้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดูเป็น "ทีม" มากกว่ายุคไหนๆ นับตั้งแต่ได้กลุ่มทุนกาตาร์มาเป็นเจ้าของ