"คล็อปป์ มองมาที่ผม ผมไม่เข้าใจเลย เกมยังดำเนินอยู่แท้ๆ ผมเลยถามเขา ‘ทำไมคุณถึงยังยิ้มอยู่’ เขาตอบกลับมา ‘คุณไม่สนุกกับมันเหรอ?’ ผมตอบกลับว่า ‘สนุกมากๆ” และเขาตอบมาว่า ‘ผมก็เช่นกัน’ "
"แต่นั่นเขากำลังจะแพ้นะ" เมาริซิโอ ซาร์รี่ เคยเล่าไว้สมัยคุมทัพ เชลซี เจอกับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2019
จะมีซักกี่คนที่ทีมของตัวเองตามหลังอยู่แล้วยังยิ้มได้?
แต่ "เจอร์เก้น คล็อปป์" คือหนึ่งในนั้น
เพราะเขามองว่า สิ่งสำคัญที่สุดของฟุตบอลคือ "ความสุข" หรือความสนุกสนานที่ได้เล่นหรือได้ชม และมุมมองแบบนี้ของเขาก็สะท้อนผ่านสไตล์การเล่นของทุกๆทีมที่เขาเคยคุมทัพ ไม่ว่าจะเป็นที่ ไมนซ์, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หรือ ลิเวอร์พูล
"เจอร์เก้น นอร์แบร์ต คล็อปป์" รักในการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลด้วยการเข้าไปเป็นเด็กฝึกหัดของทีมท้องถิ่นอย่าง เอสเฟา กลัตเท่น ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 9 ขวบ
แน่นอนว่าสำหรับเด็กคนหนึ่ง การเอาจริงเอาจังกับการเล่นฟุตบอลควบคู่ไปกับการเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งตัวของ คล็อปป์ เองก็เช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะเล่นและซ้อมฟุตบอลกับเพื่อนฝูงมากกว่า หลังเล่นเสร็จก็ไปรวมตัวที่ห้องใต้ดินของบ้านเพื่อน ดื่มน้ำอัดลมผ่อนคลายเฮฮากัน ขณะที่การเรียนก็เอาแค่พอผ่าน การบ้านถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ทำเอาเสียเลย
การเดินหน้าสู่เส้นทางนักฟุตบอลเริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้นตามอายุที่เติบโต เริ่มมีการคัดเลือกเพื่อเลื่อนสู่ที่ระดับที่สูงขึ้น จากรุ่น 11 ปีสู่รุ่น 13 ปี, 15 ปี, 17 ปี ฯลฯ เด็กๆหลายคนก็เริ่มเครียดและท้อแท้ บางคนเลือกที่จะเลิกเล่นแล้วเบนเข็มไปสู้เส้นทางอื่น
แต่คล็อปป์ไม่ใช่ เขายังเดินหน้าเส่นฟุตบอลด้วยความสนุกสนาน เป็นศูนย์กลางของทีม คอยแนะนำ รวมถึงกระตุ้นเพื่อนๆให้ลุกขึ้นสู้ จนกระทั่งได้เป็นกัปตันทีมเมื่ออายุ 15 ปี และได้มีโอกาสย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนชื่อดังของเยอรมนี อย่าง เทอูเอส แอร์เกนชิงเงน ในวัย 18 ปี ก่อนจะพัฒนาฝีเท้าจนได้ย้ายไปเล่นให้ เฟาเอฟแอล นาโกลด์, ฟอร์ซไฮม์, ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต II, วิคตอเรีย ซินลิงเงน, ร็อต-ไวส์ แฟรงค์เฟิร์ต และ ไมนซ์ 05 โดยที่ ไมนซ์ นี้เอง ที่ คล็อปป์ ก้าวขึ้นสู่ตัวหลักในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยเล่นให้ทีมไป 337 นัด ยิงได้ 52 ประตู
เทรนด์ของฟุตบอลเยอรมันเวลานั้น แทบจะไม่มีใครสนใจการ "เพรสซิ่ง" มาก่อน แต่หนึ่งในโค้ชที่ชอบการเพรสซิ่งมากที่สุดในยุคนั้น คือ โวล์ฟกัง แฟรงค์ ผู้จัดการทีม ไมนซ์ โดยเขาซึมซับเทคนิคการเพรสซิ่งจาก อาร์ริโก้ ซาคคี่ กุนซือในตำนานชาวอิตาเลียน แล้วเอามาสอนนักเตะในทีมให้ลองทำตาม
แน่นอนว่าคนที่ได้ซึมซับแนวคิดนี้ก็คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ ณ เวลานั้น เป็นผู้เล่นของไมนซ์นั่นเอง
"ในสมัยที่ผมเป็นนักเตะ โวล์ฟกังเปิดวีดีโอของเอซี มิลาน ให้เราดูจนเบื่อเป็น 500 รอบ" คล็อปป์ กล่าว
ระบบการเพรสซิ่งดังกล่าวทำให้ทีมเล็กๆ อย่างไมนซ์ เล่นบอลได้แตกต่าง และสร้างเซอร์ไพรส์ในสนามได้บ่อยๆ จากนั้นเมื่อถึงปี 2000 โวล์ฟกัง แฟรงค์ แยกทางกับไมนซ์ สโมสรจึงได้ทาบทามเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เป็นนักเตะอยู่ ให้ลองทำงานเป็นกุนซือคนใหม่ของสโมสร และคล็อปป์ตอบตกลงทันที ซึ่งเจ้าตัวเฉลยในภายหลังว่า มีความสนใจงานโค้ชมานานหลายปีแล้ว
"ในสมัยที่ผมอยู่ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต (ทีมสำรอง) ผมเคยมีโอกาสซ้อมร่วมกับ อันเดรียส โมลเลอร์ ที่ตอนนั้นอายุ 19 ปีเท่ากัน โมลเลอร์น่ะผมเห็นเลยว่าเขาจะก้าวไปเป็นนักเตะระดับโลกได้แน่ แต่ผมน่ะ ไม่ใกล้เคียงเลย"
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความสนใจเบนเข็มสู่การศึกษางานกุนซือ
ตั้งแต่การเป็นโค้ชที่ ไมนซ์ คล็อปป์มุ่งมั่นกับการสร้างสิ่งที่ชาวเยอรมันเรียกว่า "Gesamtkunstwerk" ในวงการฟุตบอลจะหมายถึงการให้ความสำคัญในรายละเอียดทุกจุด แต่รายละเอียดดังกล่าวทั้งหมดจะต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกมรุกอันน่าตื่นเต้น ความสัมพันธ์ที่ดีในห้องแต่งตัว รวมถึงการปลุกพลังจากกองเชียร์ สิ่งเหล่านี้ คล็อปป์ สร้างให้เกิดขึ้นที่ไมนซ์ และใช้เวลาไม่กี่ฤดูกาลก็สร้างปรากฏการณ์พาไมนซ์เลื่อนชั้นมาเตะในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ แม้อีก 3 ฤดูกาลต่อมาจะตกชั้นลงไปอีกครั้งก็ตาม
แม้จะตกชั้น แต่ คล็อปป์เลือกที่จะยังอยู่กับทีมต่อไป อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นได้ จึงตัดสินใจลาออกจากไมนซ์ในที่สุด
และแม้จะไม่ได้เป็นกุนซือที่พาทีมเลื่อนชั้นได้ แต่ด้วยสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรุกสุดแสนเร้าใจของเขาก็ไปเข้าตาบอร์ดบริหารของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนได้ย้ายไปคุมทัพ "เสือเหลือง" ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 ซึ่งภายใต้การคุมทีมของ คล็อปป์ เขาพาทีมโค่นบาเยิร์น มิวนิค ลงจากบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลเยอรมัน รวมถึงทะลุเข้าชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกในฤดูกาล 2012-2013
แต่แล้วในฤดูกาลต่อมา ดอร์ทมุนด์ เจอปัญหานานับประการ ทั้งตัวหลักเจ็บยาวค่อนทีม นักเตะใหม่ที่ซื้อเข้ามาก็ทำผลงานล้มเหลว อันดับของทีมก็ร่วงลงไปเรื่อยๆถึงกลุ่มท้ายตาราง คล็อปป์ ตกอยู่ในความกดดันจนเริ่มไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ สุดท้ายก็ประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานของทีม (แม้สุดท้ายดอร์ทมุนด์จะคืนฟอร์มจนจบที่ 7 ได้ก็ตาม) พร้อมขอพักงานกุนซือเพื่อ "ชาร์จพลัง" เป็นเวลา 1 ปี
"ที่ ลิเวอร์พูล ผมไม่ได้รู้สึก 'เหมือนอยู่บ้าน' เพราะสำหรับผม ที่นี่คือ 'บ้าน' อยู่แล้ว" คล็อปป์ กล่าว
ตัดภาพมาที่ ลิเวอร์พูล ในซีซั่น 2014-15 มี เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นกุนซือ โดยแม้ว่าฤดูกาลก่อนหน้าเกือบจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แต่ก็พลาดไปในช่วงท้าย ซึ่งจากความผิดหวังดังกล่าว ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมกลับมาได้อีกเลย อีกทั้งยังเสียผู้เล่นตัวหลักไปหลายราย บอร์ดบริหารจึงปลด บีร็อด ออกจากตำแหน่ง ประจวบเหมาะกับที่ คล็อปป์ พร้อมกลับมารับงานคุมทีมอีกครั้ง ทำให้เมื่อ ลิเวอร์พูล ติดต่อเข้าไปก็สามารถตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ "หงส์แดง" เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2015
คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่านี่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา พร้อมให้คำมั่นแก่แฟนบอลว่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ให้ได้ภายในสี่ปี่ แถมยังตั้งฉายาตนเองอย่างติดตลกว่าตนคือ "The Normal one" เพื่อคล้องกับฉายา "Special One" ของ โชเซ่ มูรินโญ่
คล็อปป์ นำเอาแนวคิด "Gesamtkunstwerk" รวมถึงแท็กติก "Gegen Pressing" มาใช้ที่ ลิเวอร์พูล อย่างได้ผล และเมื่อผนวกกับบอร์ดบริหารที่มีวิธีการทำทีมโดยใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ หรือที่รู้จักกันว่า "Moneyball" ก็ยิ่งทำให้ ลิเวอร์พูล พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนคว้าแชมป์ได้ครบทุกรายการในอังกฤษ ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, คอมมูนิตี้ชิลด์ ขณะที่ในระดับทวีปหรือระดับโลกก็ยังได้แชมป์ทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
นอกจากความสำเร็จดังกล่าวแล้ว คล็อปป์ ยังเป็นที่รักของแฟนบอล มี "แพสชั่น" อันแรงกล้าที่แปรเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะสู้แบบถวายหัว รวมถึงเป็นตัวกระตุ้นให้แฟนบอลส่งเชียร์แบบถวายชีวิต
แม้จะมีช่วงที่เจอปัญหานักเตะบาดเจ็บและเริ่มโรยราจนฟอร์มดำดิ่งในปี 2022-23 แต่ คล็อปป์ และทีมงาน ก็สร้างทีมขึ้นมาใหม่จนกลับสู่หัวตารางได้อีกครั้งในปีนี้ ทำให้แฟนบอลต่างเชื่อว่า คล็อปป์ จะสร้างทีมต่อจนก้าวสู่การเป็นทีมอันดับ 1 ของยุโรปได้อีกครั้งในอีกหลายปีข้างหน้า
แต่แล้วก็เหมือนมีฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ เมื่อ คล็อปป์ ประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาลนี้ โดยให้เหตุผลว่าตนเองหมดพลังที่จะทำงานนี้ต่อ และต้องการพักจากการคุมทีมอย่างน้อย 1 ปี
“ผมรักทุกอย่างเกี่ยวกับสโมสรแห่งนี้ ผมรักทุกอย่างเกี่ยวกับเมือง กองเชียร์ และทีมงานของเรา ผมรักทุกสิ่ง แต่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้"
“ผมรู้สึกหมดพลังงาน ผมรู้ตัวมาระยะหนึ่งแล้วว่าคงไม่สามารถทำงานนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้"
“ในเดือน พ.ย. เมื่อเราพูดคุยเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์หน้า ความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า ‘ปีหน้านายจะยังอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ’ และหลังจากนั้นผมก็นั่งทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง"
"ผมก็เหมือนรถสปอร์ตคันหนึ่ง มีผมที่เป็นคนขับแค่คนเดียวที่รู้ว่าถังน้ำมันในรถมันค่อยๆ ลดต่ำลงแล้ว แต่คนภายนอกจะไม่เห็นเรื่องปริมาณน้ำมันในรถ คุณอาจจะพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ซักระยะ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องหยุดเพื่อหาปั๊มน้ำมัน"
"ผมเชื่อว่า การที่คุณออกมาพูดเร็วเกินไป อาจไม่ดี แต่ก็ดีกว่าคุณมาพูดเมื่อสายเกินไป'"
เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอนับตั้งแต่เด็กจนถึง ณ วันนี้ และเมื่อถึงวันที่เขาเริ่มไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ก็คงต้องถึงเวลาแล้วที่จะต้องแยกทางกันไป
แต่แน่นอนว่าความสำเร็จที่เขาสร้างไว้ จะอยู่ในใจของแฟนบอลลิเวอร์พูลมิเสื่อมคลาย