5 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ ( 4 ม.ค.2568) เวลา 21.00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนหน้าในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีกลุ่มแรงงานไทย ทั้งชายหญิงเกือบ 50 ชีวิต หอบกระเป๋าเดินทาง รวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานสอบสวนของ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจากที่ผู้เสียหายทั้งหมด ได้ทำการโอนเงินให้กับหญิงสาวรายหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทำงานการเกษตรและอุสาหกรรมในประเทศปลายทางคือ ออสเตรีย
โดยมีการนัดกำหนดเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงสี่ทุ่มของคืนนี้ แต่พอใกล้เวลาผู้เสียหายทั้งหมดไปเช็กตั๋วเดินทางกลับไม่พบข้อมูลการจองตั๋วเที่ยวบินเพื่อเดินทางแต่อย่างใด จึงพากันมาแจ้งความในครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คอยอำนวยความสะดวก และให้คำแนะนำ
นางสลิลทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เล่าให้กับนักข่าวเราฟังว่า บุตรชายตนเอง ได้รับการติดต่อจากคนรู้จักกันบอกปากต่อปากกันมา ชักชวนให้ไปทำงานด้านการเกษตร มีรายได้ดี จึงตอบตกลง และโอนเงินจำนวน 60,000 บาท ให้กับ นางสาวออย ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนในการจัดหาคนงานไปทำงาน โดยนัดบินในค่ำคืนนี้ จึงพากันเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่พอมาถึงไม่พบว่ามีการจองตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด พอถาม นางสาวออย กลับได้รับคำตอบว่า ติดต่อคนที่รับงานและรับเงินไปไม่ได้ ซึ่งมีผู้เสียหายประมาณ 250 คน
เช่นเดียวกับ นาย ธนายุทธ อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดสกลนคร คนนี้โอนเงินไป 120,000 บาท และเหมารถเดินทางมาจากจังหวัดสกลนคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า ได้รับการชักชวนติดต่อจาก นางสาวออย โดยมีการโอนเงินผ่าน นางสาวออย เพื่อหวังได้ไปทำงาน เนื่องจากมีการระบุเชิญชวนว่า หากไปทำงานจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 70,000 บาท โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมเงินกว่าสองแสนบาท แต่จะต้องจ่ายก่อน 120,000 บาท ที่เหลือหักจากเงินเดือน
ทั้งนี้ ที่ตนเองหลงเชื่อใจ เพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่า สามารถพาไปทำงานได้จริง มีคนเคยไปแล้วหลายคน จึงหลงเชื่อโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับ นางสาวออยไป จนมีการนัดหมายให้มาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในคืนนี้เพื่อเดินทาง ซึ่งตนเองก็มารอตั้งแต่เช้าจนใกล้ถึงเวลา แต่กลับไม่มีตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด
ขณะที่ นางสาวออย อายุ 28 ปี หญิงสาวนายหน้าที่จัดหาและชักชวนกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดว่าจะพาไปทำงานในออสเตรีย และเป็นบุคคลที่ผู้เสียหายทั้งหมดโอนเงินผ่านบัญชี ซึ่งเจ้าตัวก็เดินทางมาขอลงบันทึกประจำวันเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่าเธอก็ตกเป็นผู้เสียหาย
ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเราว่า ตนเองไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันคนหนึ่ง เธอชื่อว่า ฟ้า ได้มาชักชวนเธอว่า สามารถพาคนไทยไปทำงานที่ประเทศออสเตรียได้ หากเธอ (นางสาวออย) สามารถหาคนไปทำงานที่ออสเตรียได้ เธอจะได้ค่าตอบแทนหัวละ 2,000 บาท ส่วนใครที่จะไปทำงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่ 30,000 – 60,000 บาท หรือบางคนหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แล้วแต่ระยะเวลาที่จะอยู่ทำงานที่นั่น เธอจึงเอาเรื่องราวดังกล่าวไปบอกกับญาติพี่น้องของตนว่า หากใครจะไปสามารถติดต่อเธอได้และโอนค่าใช้จ่ายผ่านเธอ
ซึ่งพอมีเงินรายได้เข้ามา เธอก็จะเบิกเงินนั้นฝากเป็นเช็ค พร้อมกับเอกสารต่างๆ ของผู้เสียหาย นัดมอบเช็ค และเอกสารให้กับ นางสาวฟ้า ซึ่งอ้างว่าทำงานในสถานทูตออสเตรีย ประจำประเทศไทย โดยทุกครั้งที่มีเงินเข้ามาผ่านบัญชีตนเอง จากผู้เสียหายที่ต้องการเดินทางไปทำงาน ตนเองก็จะเบิกเงินฝากเป็นเช็คให้กับนางสาวฟ้า และนัดมอบเช็คกับนางสาวฟ้าที่หน้าสถานทูตออสเตรีย ที่นางสาวฟ้า อ้างว่าทำงานอยู่ในสถานทูต ซึ่งรวมผู้เสียหายแล้วประมาณ 250 คน รวมจำนวนเงินที่นำฝากผ่านเช็คให้กับนางสาวฟ้า กว่า 12 ล้านบาท
ด้าน นางสาวฟ้า บอกว่า จะจัดการการเดินทางทั้งหมดให้ ซึ่งมีกำหนดการเดินทางในค่ำคืนนี้ โดยให้ผู้เสียนำพาสปอร์ตมาแสดงที่เคาน์เตอร์ของสายการบินเท่านั้น จึงนัดผู้เสียหายทั้งหมดมาเจอกันที่สนามบิน จนใกล้เวลาไปเช็คบอร์ดดิ้งการ์ด หรือตั๋วเครื่องบิน กลับไม่พบข้อมูลการเดินทาง ไม่มีรายชื่อแต่อย่างใด พอโทรกลับไปหานางสาวฟ้า กลับติดต่อไม่ได้แล้วจึงพาผู้เสียหายทั้งหมดมาพบตำรวจ
ขณะที่ ร.ต.อ. ชนธัญ พรหมรักษา รอง สว.(สอบสวน) สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแนะนำกลุ่มผู้เสียหาย เบื้องต้นผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีการโอนเงิน แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายเยอะ จึงมีการแนะนำให้กลุ่มผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อสะดวกกับการทำสำนวนคดี
โดยผู้เสียหายทั้งหมดนัดรวมตัวเตรียมเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนที่กองปราบปรามใน วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2568 ในเวลา 10.00 น.