26 ตุลาคม 2566 วานนี้ (25 ต.ค.) ที่ห้องออดิทอเรียม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดสัมมนาทางวิชาการประจำปี Equity Forum 2023 ทุนมนุษย์ยุติความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำเสนอรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2566 และผลงานวิจัย และข้อเสนอการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ในประชากร 3 ช่วงวัยสำคัญของประเทศ
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา นำเสนอรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2566 โดยชี้ว่า ปี 2566 หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจของประเทศไทย ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ สถานการณ์เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง เป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษารุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะค่าครองชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร เด็กและเยาวชนจากครัวเรือนเปราะบาง ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากมีปัญหาความยากจน หรือด้อยโอกาสในมิติต่าง ๆ เป็นทุนเดิม หากเราไม่ช่วยเหลือ ดูแลเด็กและเยาวชน จากครัวเรือนเปราะบางเหล่านี้ ประเทศไทยอาจมีการฟื้นตัวเป็นลักษณะ K-Shaped (K-Shape Recovery) หมายถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ของเด็กและเยาวชน จากครัวเรือนที่มีรายได้น้อย กับครัวเรือนที่มีความพร้อม ทางเศรษฐกิจมากกว่า จะยิ่งถ่างกว้างออกไปมากขึ้น
“เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีความพร้อมมากกว่า จะสามารถฟื้นตัวจากภาวะถดถอย จากการเรียนรู้ได้มากกว่า และเด็กที่เข้าไม่ถึงโอกาส ในการฟื้นฟูหรือหลุดจากระบบ จะกลายเป็นกลุ่มประชากรรุ่นที่สูญหายจากการเรียนรู้ ( Lost Generation) หลักฐานเรื่องนี้ ยืนยันจากข้อค้นพบ ปัญหาทุนมนุษย์ช่วงวัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มยากจนด้อยโอกาส”
ดร.ไกรยส กล่าวว่า การพัฒนาทุนมนุษย์ในวันนี้ จึงต้องเปลี่ยนไป ในบริบทและเงื่อนไขใหม่ ไม่ปล่อยให้เกิดการสูญเสีย หรือเด็กเยาวชนให้หลุดออกจากระบบการศึกษา หรือไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพแม้แต่คนเดียว เพราะเด็กทุกคนเป็นมนุษย์ทองคำ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า นอกจากนี้อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เราจะเหลือเด็กเยาวชนให้ลงทุนได้น้อยลงทุก ๆ ปี ทุก ๆ วัน
“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 จะทยอยครบกำหนดในอีก 5 - 7 ปี หากไม่เร่งลงทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการพัฒนาทุนมนุษย์ ประเทศไทยยังมีความเสี่ยงที่จะไม่บรรลุเป้าหมายนี้”
ผู้จัดการ กสศ. ชี้ว่า การลงทุนในทุนมนุษย์ คือกุญแจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมาย การเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อคน 40% เพื่อออกจากกับดักรายได้ปานกลาง ภายในปี 2579 ของไทย ทุนมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ฐานภาษี ที่กว้างและลึกขึ้น ช่วยเพิ่มรายได้ และรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ จากการประเมินขององค์การ UNESCO พบว่า หากประเทศไทยสามารถยุติ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ประเทศไทยจะมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น ถึง 3%
ดร.ไกรยส ระบุว่า ปีการศึกษา 2566 ประเทศไทยมีจำนวนนักเรียนยากจน และยากจนพิเศษราว 1.8 ล้านคน โดย กสศ. สนับสนุนทุนเสมอภาคให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษ หรือยากจนระดับรุนแรง (Extremely Poor) จำนวน 1,248,861 คน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ตัวเลขยังไม่แตะหลักล้านคือ 994,428 คน เด็กกลุ่มนี้ แม้จะมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่ความยากจนในระดับรุนแรง ยังเป็นอุปสรรคทำให้เด็กบางคน ไม่สามารถมาเรียนได้
ความเป็นอยู่ของเด็กแร้นแค้น สภาพบ้านเข้าข่ายทรุดโทรม ไม่มีค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาได้ รายได้ของครัวเรือนยากจน และยากจนพิเศษที่มีบุตรหลาน อยู่ในระบบการศึกษามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิม 1,250 บาทต่อเดือน ในปี 2562 ปี 2566 ลดลงเหลือ 1,039 บาทต่อเดือน หรือวันละ 34 บาท หรือลดลงราวร้อยละ 5 ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ความยากจนระดับนานาชาติ 2.15 ดอลลาร์ต่อวันหรือวันละประมาณ 80 บาท
ผู้จัดการ กสศ. ชี้ว่า จากการติดตามข้อมูลนักเรียน จากครัวเรือนยากจนและยากจนพิเศษ ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปี 2566 มีข้อค้นพบ ดังนี้
1.ยิ่งการศึกษาระดับสูง โอกาสที่เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ จะได้เรียนต่อก็น้อยลงเรื่อย ๆ ปีการศึกษา 2566 มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้น ที่สามารถศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้สำเร็จ (21,921 คนหรือ 12.46%) ต่ำกว่าค่าสถิติของทั้งประเทศมากกว่า 2 เท่า
2.ช่วงชั้นรอยต่อเป็นช่วงเวลาวิกฤต ที่เด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบมากที่สุด เพราะจำเป็นต้องย้ายสถานศึกษาในช่วงเปิดเทอม และต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัครเรียน ค่าเดินทางมาสมัครเรียน หรือการเตรียมความพร้อมในการเรียนต่อ
เด็กกลุ่มนี้ต้องผ่านด่านที่เป็นอุปสรรคจำนวนมาก จนต้องยอมแพ้ไม่เรียนต่อในที่สุด เช่น ค่าใช้จ่ายในการเข้ามหาวิทยาลัยคิดเป็น 12 เท่า ของรายได้นักเรียนยากจนพิเศษ หรือราว 13,200 บาท-29,000 บาท กสศ. ได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักเรียนยากจนพิเศษ ที่เข้าศึกษาต่อผ่านระบบ TCAS พบว่า “ทุนการศึกษาคือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจเรียนต่อ” ขณะที่ค่าใช้จ่าย TCAS ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับรายได้ของนักเรียนยากจนพิเศษ การสมัคร TCAS แต่ละรอบ/สาขา หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
ด้าน รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) รายงานความพร้อม ของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษา หรือ School Readiness Survey (SRS) ชี้ว่า ความพร้อมด้านการอ่าน และคณิตบางมิติของเด็กปฐมวัย ยังน่าเป็นห่วง ควรเร่งช่วยเด็กที่มีปัญหาก่อนสายเกินแก้
เพราะความพร้อมนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า จะเรียนในระดับประถมได้ดีแค่ไหน โดยการสำรวจสถานะความพร้อมเด็กปฐมวัยที่เรียนอยูในระดับอนุบาล 3 จำนวน 43,213 คน จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างปีการศึกษา 2562-2565 ถึงแม้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ในระดับหมวดย่อย ของทักษะด้านคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับที่น่ากังวลมาก เช่น ความพร้อมด้านการต่อรูปในใจ มีจังหวัดจำนวนมากที่มีระดับความพร้อม ด้านการต่อรูปในใจต่ำมากร้อยละ 15 ส่วนด้านภาษาพบว่า ความพร้อมด้านความเข้าใจในการฟัง อยู่ในระดับที่น่ากังวล มีเด็กปฐมวัยทั่วประเทศถึงร้อยละ 25 ที่มีความเข้าใจในการฟังต่ำมาก
“เราควรโฟกัสเด็กที่ไม่พร้อม (low-readiness children) โดยเฉพาะ เด็กที่ขัดสน มีโอกาสขาดความพร้อมสูงกว่า ควรให้ความสำคัญกับเด็กกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ เพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือ และการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ก็ให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่สูงมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น (high marginal returns)”
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอ รายงานความพร้อมทุนมนุษย์ในเยาวชนแรงงานช่วงต้น (Career Readiness Survey) ระบุว่า เครื่องมือนี้สำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวนกว่า 5,200 คน ใน 26 จังหวัด ทั้งหมด 246 โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสจำนวน 156 โรงเรียน และโรงเรียนประเภทอื่น ๆ จำนวน 91 โรงเรียนพบว่า ทั้งหมดเกิดการสูญเสียความพร้อมด้านอาชีพ (Career Readiness Loss) จากการประเมิน Soft Skill ทั้ง 7 ด้านได้แก่
ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ทักษะทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก ทักษะการแก้ปัญหาทักษะความร่วมมือกัน ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล ผลที่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์ทั้งหมด ลดลงถึง 30 - 50% โดยกลุ่มที่มีคะแนนทดสอบต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มนักเรียนจากครัวเรือนยากจน ถ้าเป็นเด็กในโรงเรียนมัธยมทั่วไปจะลดลง 5 - 15% ดังนั้นถ้าเด็กยากจนกลุ่มนี้หลุดออกจากระบบการศึกษาจะมีชีวิตที่ลำบากมาก “นี่เป็นสภาพของเด็กที่จะเจอปัญหาหนักที่สุด แต่ความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่ำที่สุด”
ดร.เกียรติอนันต์ ยังระบุว่า ถ้านำข้อมูลเรื่องความสำเร็จในตลาดแรงงาน มาวิเคราะห์จะพบว่า การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะมีแรงผลักดันเพียงพอ ทำให้ทุนมนุษย์ของประเทศไทย ขยับได้จริง ๆ เราต้องส่งทุกคนให้จบ ปวส. หรือมีทักษะเทียบเท่าคนจบ ปวส. ถ้าต่ำกว่านี้ เด็กจะไม่หลุดจากกลุ่มก้อนทักษะทุนมนุษย์ระดับล่าง ซึ่งอาจจะเป็นการยกระดับทักษะให้เทียบเท่า
สำหรับรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พร้อมข้อเสนอนโยบายฉบับเต็ม สามารถ ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.eef.or.th/publication-28816/