2 เมษายน 2566 ยังไม่จบง่าย ๆ สำหรับศึกระหว่าง "ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด" เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กับ "จอมแฉ" "นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" อดีตนักการเมือง จากปมเรื่องถุงเงินจำนวน 6 ล้านบาท ที่ "นายชูวิทย์" ได้รับมาจากแก๊งเว็บพนันออนไลน์ ที่ตอนนี้คดีอยู่ขั้นตอนการสอบสวน ของตำรวจกองบังคับการปราบปราม เพื่อสาวหาที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ทั้งนี้แม้ในทางคดี จะอยู่ในขั้นตอนของตำรวจ และการออกมาให้ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายจะลดลง เนื่องจากเป็นเรื่องของ "สำนวนคดี" แต่ดูเหมือนสงครามของทั้งคู่ในโลกโซเชียล จะยังคงเดินหน้าในยกสอง สาม ต่อเนื่อง แม้ในยกแรก "ทนายตั้ม" ทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำให้ฝั่งตรงข้าม จนเริ่มออกอาการ "ป้อแป้"
ล่าสุด ทนายตั้ม ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ วิพากษ์วิจารณ์ นายชูวิทย์ เกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวกับ ที่ดินสวนชูวิทย์ ที่เกี่ยวโยง คดีรื้อบาร์เบียร์ บริเวณสุขุมวิทซอย 10 ของนายชูวิทย์ เมื่อปี 2546 ที่ตอนนี้กลายเป็นตึกสูง โดยระบุว่า
หลายสิบปีก่อนได้ติดตามข่าว “ที่ดินบาเบียร์” ของพี่ชูวิทย์ ที่ให้คนไปรื้อจนถูกดำเนินคดี จำได้ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องพี่ชูวิทย์
ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุก ก็สู้คดีมาตลอดแต่พอถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจู่ๆพี่ชูวิทย์ก็แถลงรับสารภาพ!!
ตอนนั้นจำได้ผมเพิ่งเป็นทนายได้ไม่นาน การที่จู่ ๆ จำเลยปฎิเสธมาตลอด จะรับสารภาพตอนนั้น ก็งงเหมือนกัน ทำได้ด้วยเหรอ แล้วศาลจะลดโทษให้ไหม?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินทนายรุ่นเก่า ๆ พูดว่า การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ส่วนมากศาลจะไม่ลดโทษให้ คำนี้ติดหูผมมาก
ระหว่างที่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปนั้น นักกฎหมายสมัยนั้น ก็วิจารณ์เรื่องนี้กันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่า ไม่น่าจะทำได้ บ้างก็ว่า เป็นสิทธิของจำเลย
พอถึงวันฟังคำพิพากษาปรากฎว่า ศาลฎีกาลดโทษให้ โดยเหตุผลหนึ่งคือ จำเลยได้มีการนำที่ดินพิพาท ไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก
บ่งบอกว่าจำเลยรู้สึกสำนึกผิด นับว่ามีเหตุปราณี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม พิพากษาแก้จากจำคุก 5 ปี ให้เหลือแค่ 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ได้ลดโทษมา 3 ปี เหนาะ ๆ เพราะให้ที่เป็นสาธารณะประโยชน์
ผมถึงรู้สูตรนี้ว่า จำเลยสามารถกลับคำให้การชั้นฎีกา และลดโทษได้ ถ้ามีเหตุผลดี ๆ ก็เลยลักจำเอาคดีที่ทนายของพี่ชูวิทย์ใช้วิชาขั้นเทพนี้มาประยุกต์ใช้บ้าง
เมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งรู้ข่าวว่า ที่ดินที่พี่ชูวิทย์อุทิศให้คน กทม. ไว้ใช้เพื่อสาธารณะ ตอนนี้กำลังพัฒนาให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่าหลายพันล้าน ก็ตกใจเพราะนักกฎหมายทุกคนทราบดีว่า ถ้าแค่พูดว่า ยกที่ดินให้สาธารณะมันจะโอนทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียน และไม่สามารถถอนคืนการให้ได้
เรื่องนี้ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ และกรุงเทพมหานคร ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ทำความจริงให้ปรากฎ ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่แถวนั้น และเคยใช้ประโยชน์กับสวนชูวิทย์ อาจจะรวมตัวกันไปฟ้องคดีต่อศาลเอง เพื่อทวงคืนปอดของคนกรุงเทพฯซึ่งสามารถทำได้
แต่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อถึงเวลานั้น พี่ชูวิทย์จะใช้อภินิหารทางกฎหมายท่าไหน เอาที่ดินที่ยกให้สาธารณะไปแล้ว มาเป็นของครอบครัวตัวเองได้อีก เรื่องนี้คงจะถกเถียงกันอีกนาน จนกว่าจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินเป็นแนวทางต่อไป