"เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเสียสละมาก คือ 7 วัน 24 ชั่วโมง ผมติดสุข ผมยอมรับ แต่ถ้าตัดสินใจทำงาน ก็ต้องเสียสละ"
คำกล่าว "เศรษฐา ทวีสิน" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
"เศรษฐา ทวีสิน" ชื่อนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จจากความเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับหมื่นล้าน หากแต่ในช่วงเวลาที่อายุของสภาจะสิ้นสุด ต้องมีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ชื่อของ "เศรษฐา ทวีสิน" กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งแสนสิริ ถูกสปอร์ตไลท์สาดส่องมากขึ้นมาเรื่อยๆ ล่าสุด"พรรคเพื่อไทย"มีคำสั่งแต่งตั้งเป็น"ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกวางไว้ให้เป็นแคนดิเดตนายกฯลำดับที่สอง
ครั้งหนึ่ง "เศรษฐา" เปิดใจกับทีมข่าว "3 บก.เครือเนชั่น" ถึงการ"เลือกตั้ง66" หากพรรคเพื่อไทยเกิดแลนด์สไลด์และได้เข้าไปบริหารประเทศ 4 อย่างที่อยากทำเพื่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงในฐานะเบอร์หนึ่งของประเทศมีอะไรบ้างนั้น
"เศรษฐา" กล่าวว่า 4 เรื่องใหญ่ คือ 1.เรื่องปากท้อง เป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องทำอย่างเต็มที่ 2.เรื่องรัฐธรรมนูญ ต้องมีการแก้ไข 3. เรื่องภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitics) ไทยต้องมีจุดยืนที่เด่นชัดภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ต้องมีตัวตนที่มีศักดิ์ศรีบนเวทีการค้าโลก
"เราไม่สามารถไปอิงกับสหรัฐ รัสเซียได้ เพราะทุกฝ่ายต้องการบางอย่างจากเราแตกต่างกันไป เราสามารถให้ซูเปอร์เพาเวอร์แตกต่างกันไป"
และ 4.เรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค กฏหมายที่นำมาซึ่งความเสมอภาคไม่ว่าจะเพศสภาพ ถือเป็นซอฟท์พาว์เวอร์ของคนไทย.
เมื่อพลิกปูมประวัติ "เศรษฐา ทวีสิน" ซีอีโอหมื่นล้านสู่เส้นทางการเมืองใน"ศึกเลือกตั้ง66" เขามีชื่อเล่นว่า "นิด"
๐ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 อายุ 60 ปี
๐ สำเร็จปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School ประเทศสหรัฐอเมริกา “
เริ่มการทำงานปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย (จำกัด) ก่อนหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลประกอบการในปี 2564 มีรายได้ถึง 29,747.52 ล้านบาท และกำไร 2,017.28 ล้านบาท
๐ ขณะที่"นายเศรษฐา ทวีสิน" ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีชื่อถือหุ้นในบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI จำนวนทั้งสิ้น 661,002,734 หุ้น สัดส่วน 4.44% มูลค่ารวมกว่า 1,229,465,085.2 บาท (จากราคาปิดวันที่ 8 ก.พ. 2566 ที่ราคา 1.86 บาทต่อหุ้น)
ชมคลิป >>>