svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวทั่วไทย

เปิดรายละเอียดเหตุผล ทำไม? ศาลเเขวงภูเก็ตยกฟ้อง "ฝรั่งเดวิดเตะหมอปาย"

ที่นี่ที่เดียว! เปิดรายละเอียดเหตุผล ทำไม? ศาลเเขวงภูเก็ตถึงยกฟ้อง "ฝรั่งเดวิด" ถูกกล่าวหาเตะ "หมอปาย" ขณะนั่งบริเวณบันไดของวิลล่าหรูทางลงชายหาดยามู

3 กันยายน 2567 กลับมาเป็นประเด็นร้อน ที่ให้สังคมให้ความสนใจ และสงสัยเป็นอย่างมาก สำหรับคดีดังแห่งปี ที่แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือ "หมอปาย" ถูกนายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างชื่อดังเมืองภูเก็ต ทำร้ายร่างกายด้วยการเตะถีบเข้าบริเวณหลัง ขณะนั่งบริเวณบันไดของวิลล่าหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทางลงชายหาดยามู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เหตุเกิดเมื่อเดือน ก.พ. 67

ต่อมา "หมอปาย" ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายเดวิด ข้อหาทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2567 จนนำมาสู่การลุกฮือทวงคืนเกาะภูเก็ตจากชาวต่างชาติ รวมถึงการยึดครองชายหาดต่างบนเกาะภูเก็ต

อย่างไรก็ตามในส่วนคดีที่ "หมอปาย" ถูกนายเดวิดทำร้ายนั้น วันนี้ (3 ก.ย.) ศาลได้มีคำพิพากษาคดีนี้ โดยยกฟ้องนายเดวิด และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย 

 

สำหรับรายละเอียดของการพิพากษาคดีดังกล่าวมีดังนี้ คือ ศาลแขวงภูเก็ต ศาลนัดพิพากษาคดี พนักงานอัยการคดีศาลเเขวง เเละ แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือ หมอปาย เป็นโจทก์ เเละโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างภูเก็ต ในคดีทำร้ายร่างกาย กรณีเตะเข้าที่หลังหมอปาย พร้อมตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ขณะนั่งที่บันไดหน้าวิลล่าหรู ชายหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ก.พ.67

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยสำนวนแรกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายนางสาวธาวธารดาว จันทร์ ดำ ผู้เสียหาย โดยการเตะบริเวณหลังหนึ่งครั้งเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำบริเวณหลังส่วนบนโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 

สำนวนที่สอง นางสาวธารดาวเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ นางสาวธารดาวมีอาการทางจิตประสาทโศกเศร้าเสียใจซึ่งเป็นอาการทางจิตเวชโดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD (โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ) ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 
นายเดวิด ผู้ก่อเหตุ
 

ศาลให้เรียกพนักงานอัยการคดีศาลแขวงว่า โจทก์ที่ 1 และเรียกนางสาวธารดาวว่า โจทก์ที่ 2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ 

เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ที่ 2 ประกอบกับคลิปวิดีโอตามวัตถุ
พยานปรากฏว่า มีความแตกต่างและไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เนื่องจากตามคลิปวิดีโอปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 หันหน้ามาทางข้างขวา และเหลียวหลังมองไปทิศทางที่จำเลยกำลังเดินตรงมาที่โจทก์ที่ 2 จึงเชื่อว่า หากจำเลยเตะโจทก์ที่ 2 จริง โจทก์ที่ 2 และนางสาวศุกาญจน์ สุขเกื้อ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกัน ย่อมน่าจะเห็นเหตุการณ์และยืนยันได้หนักแน่นว่า จำเลยเตะทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 โดยมีลักษณะและรายละเอียดการเตะอย่างไรกันแน่

เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่าง จากหลอดไฟในสวน จากดวงจันทร์เต็มดวงเพียงพอที่พยานโจทก์จะมองเห็นและจดจำเหตุการณ์ได้ แต่โจทก์ที่ 2  กลับไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริง ถึงการถูกทำร้ายร่างกายนั้นได้ อันเป็นข้อพิรุธให้น่าสงสัย
บันไดทางลงหาดยามูจุดเกิดเหตุ

นอกจากนี้ ตามคลิปวิดีโอวัตถุพยาน ก็ไม่ปรากฎภาพเหตุการณ์ ที่แสดงถึงจำเลยใช้เท้าเตะโจทก์ที่ 2 จนมีลักษณะคะมำไปด้านหน้า ดังที่โจทก์ที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่กลับปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 สามารถลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากที่เกิดเหตุได้อย่างปกติ อันขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ที่ 2 ทั้งไม่สมเหตุสมผล เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรูปร่างของจำเลย ที่เป็นคนสูงใหญ่กว่าโจทก์ที่ 2 มาก ประกอบกับโจทก์ที่ 2 กับจำเลยไม่เคยรู้จักกัน หรือมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏว่า โจทก์ที่ 2 และจำเลยมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันก่อน และปกติบุคคลทั่วไปเมื่อถูกทำร้ายร่างกาย โดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ย่อมต้องสอบถามมูลเหตุที่ทำร้ายตน 

แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในชั้นพิจารณา นอกจากนี้พยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนยังเบิกความอีกว่า ตำแหน่งที่โจทก์ที่ 2 นั่งบนบันได้ขั้นที่สองนับจากด้านล่าง หากจำเลยยืนอยู่บันไดขั้นบนสุด จะไม่สามารถเตะถึงโจทก์ที่ 2 ได้ และหากจำเลยเดินลงมาอีกหนึ่งถึงสองขั้นบันไดย่อมประชิดตัวโจทก์ที่ 2 ซึ่งโจทก์ที่ 2 และนางสาวศุภกาญจน์ต้องเห็น เหตุการณ์เป็นอย่างดี อีกทั้งพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์ทั้งสอง ไม่มีพยานปากใดให้การยืนยันว่า จำเลยรับต่อพยานว่า ได้เตะโจทก์ที่ 2 ทั้งหลังเกิดเหตุมีการไกล่เกลี่ยในที่เกิดเหตุ จำเลยก็ปฏิเสธต่อตำรวจของสถานีตำรวจภูธรถลางว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2

สำหรับรายละเอียดบาดแผลของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองมีพยานปากแพทย์ออกผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความว่า พยานไม่ได้ตรวจร่างกายโจทก์ที่ 2 เพียงแต่ดูลักษณะบาดแผลจากภาพถ่าย และข้อมูลที่พยาบาลบันทึกไว้เท่านั้น โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำพยาบาลซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปบาดแผลของโจทก์ที่ 2 มาเบิกความยืนยัน และมิได้ส่งภาพถ่ายบาดแผลและประวัติการรักษาทางเวชระเบียน ซึ่งโจทก์ที่ 2 เข้าทำการรักษา ก่อนออกผลการตรวจทางนิติเวช โดยภาพถ่ายบาดแผลจำเลยเป็นฝ่ายอ้างเป็นพยาน
ดังนั้น ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลจึงยังมีข้อพิรุธให้สงสัย 

เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองที่นำสืบมา จึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ส่วนที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 รับอันตรายแก่จิตใจ โดยป่วยเป็นโรค PTSD เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่จิตใจหรือไม่ จึงย่อมไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย นอกจากนี้ที่โจทย์ที่ 2 อ้างว่า ป่วยเป็นโรค PTSD จำเลยนำสืบหักล้างและมีพยานปากผู้เชี่ยวชาญซึ่งศาลหมายเรียกมาให้ความเห็นเป็นหนังสือ และมาเบิกความประกอบ

มีความเห็นตรงกันว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD บุคคลนั้นต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเหตุการณ์ที่โจทก์ที่ 2 ได้รับมาตามที่กล่าวอ้างนั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง
เปิดรายละเอียดเหตุผล ทำไม? ศาลเเขวงภูเก็ตยกฟ้อง \"ฝรั่งเดวิดเตะหมอปาย\"