สถานการณ์ "พะยูน" ทะเลตรัง น่าเป็นห่วง โดยล่าสุด ชาวบ้านในพื้นที่ ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง พบพะยูน เพศผู้ อายุประมาณ 20 ปี เกยตื้นในสภาพร่างกายซูบผอมอย่างมาก เมื่อนำซากไปผ่าพิสูจน์พบว่า ทางเดินอาหารมีพยาธิตัวกลมเต็มท้องในกระเพาะ ลำไส้พบเนื้องอกเนื้อตาย และยังพบพยาธิตัวกลมพยาธิใบไม้ และในลำไส้ใหญ่พบไมโครพลาสติกปะปนเล็กน้อย โดยในกระเพาะพบว่ามีหญ้าทะเลชนิดหญ้าใบมะกรูด หญ้าเข็ม (ซึ่งหญ้าเข็มจะพบในระดับน้ำลึกกว่าหญ้ามะกรูด) แต่มีอยู่น้อย
โดยในปี 2567 นี้ผ่านมาไม่ครบ 3 เดือน แต่มีพะยูนในทะเลตรังเกยตื้นตายแล้วเป็นตัวที่ 4 ซึ่งทั้งหมดที่ตายพบมีอาการป่วยและร่างกายซูบผอม คาดสาเหตุหลักเกิดจากปัญหาสภาพระบบนิเวศในทะเลที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง พื้นดินปกคลุมด้วยตะกอนดิน หญ้าทะเลซึ่งเป็นอาหารของพะยูนทั่วทะเลตรังเสื่อมโทรมหนัก รวมไม่ต่ำกว่า 30,000 ไร่ ซึ่งผลทำให้พะยูนและสัตว์ทะเล กุ้ง หอย ปู ปลาหายไป จนชาวบ้านไม่มีแหล่งหากินบริเวณใกล้ชายฝั่งเหมือนที่ผ่านๆมา
หน่วยงาน-ตัวแทนเครือข่ายในพื้นที่ เร่งหาสาเหตุหญ้าทะเลเสื่อมโทรม
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ส่ง คณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านหญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายาก ด้านสมุทรศาสตร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัย ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ ได้ลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงสัปดาห์นี้ เพื่อหาสาเหตุของการเสื่อมโทรมของหญ้าทะเล และนำมาออกมาตรการแก้ไขหรือฟื้นฟูหญ้าทะเลโดยเร็วที่สุด
โดยคณะทำงานได้แบ่งการทำงานทั้งภาคพื้นดินในการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินบริเวณแหล่งหญ้า ติดตามการเปลี่ยนแปลงของหญ้าทะเลเสื่อมโทรมในพื้นที่จังหวัดตรัง (Line Transect, เก็บตัวอย่างดินตะกอน) เก็บข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์กายภาพในพื้นที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรม เก็บตัวอย่างการปนเปื้อนของโลหะหนัก (Heavy metals) และ มลสารอินทรีย์ที่ตกค้างยาวนาน(Persistent Organic Pollutants) ในตะกอนดินและหญ้าทะเล
เปิดผลบินสำรวจเบื้องต้น
นอกจากคณะทำงานลงพื้นที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของหญ้าทะเลแล้ว ยังมีการสำรวจด้วยโดรนและการบินสำรวจพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก ด้วยเครื่องบินปีกตรึง 2 ที่นั่ง สำรวจแบบ Line transect และ Hot spot ร่วมกับนักบินอาสาสมัคร นาย Eduardo Angelo Loigorri และวิธีการสำรวจทางเรือ บริเวณเกาะลิบง เกาะมุกด์ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และบริเวณแนวหญ้าทะเลใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดตรัง
เบื้องต้น เจอพะยูนเพียง 36 ตัว พบพะยูนคู่แม่-ลูก จำนวน 1 คู่ โลมาหลังโหนก 6 ตัว พบโลมาคู่แม่-ลูก 2 คู่ และเต่าทะเล 38 ตัว ผลการตรวจสุขภาพประเมินสุขภาพจากการสังเกตด้วยสายตา พบว่าพะยูนแสดงพฤติกรรมว่ายน้ำหาอาหารบนแนวหญ้าทะเล นอกจากนี้ ยังพบพะยูนคู่แม่-ลูก ซึ่งแสดงถึงความสมบูรณ์เพศของตัวสัตว์ โดยโลมาหลังโหนกพบว่าสุขภาพโดยรวมสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยที่เกิดจากการถูกเครื่องมือประมงหรือขยะทะเลพันรัด รวมถึง เต่าทะเล สุขภาพโดยรวมไม่พบพฤติกรรมที่แสดงความผิดปกติ
ส่วนข้อมูลและภาพถ่ายจากการสำรวจครั้งนี้นำไปคำนวณหาจำนวนประชากรที่แท้จริงของสัตว์ทะเลหายากในบริเวณพื้นที่จังหวัดตรังต่อไป
โดยสรุป การสำรวจประชากรพะยูนในปีนี้พบพะยูนลดลงอย่างน่าใจหาย เหลือเพียงประมาณ 36 ตัวเท่านั้น พบคู่แม่ลูกเพียง 1 คู่ โดยในปี 2566 พบพะยูน 194 ตัว คู่แม่ลูกถึง 12 คู่ เชื่อว่าพะยูนทะเลตรังกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตอย่างหนัก มีโอกาสจะสูญพันธุ์ไปจากทะเลตรังในอนาคตอันใกล้นี้
ปัญหาโลกร้อน
ทั้งนี้ ทางด้านนักวิชาการให้น้ำหนักกับเรื่องปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ แต่ในขณะที่ชาวบ้าน เครือข่ายประมงพื้นบ้าน นักวิชาการในพื้นที่ และเครือข่ายภาคประชาสังคมให้น้ำหนักกับจุดเริ่มต้นจากการทับถมของตะกอนทรายจากการขุดลอกร่องน้ำกันตัง โดยกรมหนึ่ง เพื่อการเดินเรือที่ตะกอนดินเข้ามาทับถมแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณเกาะลิบง และขณะนี้แม้จะหยุดขุดไปแล้ว แต่ผลกระทบยังคงมีมาต่อเนื่อง ตามด้วยปัญหาโลกร้อนที่คืบคลานเข้ามา เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลตรังตามมาจนถึงปัจจุบันนี้ จนส่งผลต่อพะยูนขาดแหล่งอาหารในที่สุด
มูลนิธิอันดามัน จี้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้วิกฤต
ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับ นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอันดามัน จังหวัดตรัง หนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ ที่แต่งตั้งโดยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)
โดย นายภาคภูมิ บอกว่า พะยูนตัวล่าสุดที่ชาวบ้านพบเกยตื้นตายมีสภาพผอม มีเพรียงเกาะตามลำตัวจำนวนมาก แสดงอาการชัดเจนว่าป่วยและขาดอาหาร การที่หญ้าทะเลในทะเลตรังเสื่อมโทรมทุกพื้นที่รวมกว่า 30,000 ไร่ เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้อาหารพะยูนขาดแคลน เพราะทะเลตรังมีพะยูนจำนวนมาก พะยูนจึงอยู่ในภาวะวิกฤติหนัก ซึ่งมีสัญญาณมาตั้งแต่ประมาณ 3-4 ปีมาแล้ว เพราะมีการพบพะยูนเกยตื้นตายจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกิดจากอาการป่วย และสาเหตุหลักเกิดจากภาวะการขาดแคลนอาหารที่มาจากความไม่สมดุลทางระบบนิเวศ
ล่าสุด ทาง "กรมทะเล" ได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ เพื่อร่วมกันหาสาเหตุหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายจะต้องเร่งมือทำงาน มัวแต่หาสาเหตุอย่างเดียวไม่ได้ จะไม่ทันการณ์ พะยูนจะตายหมด
โดยทุกฝ่ายต้องจริงจังในการร่วมมือกันทำงาน ปัจจุบันภาระตกอยู่กับกรม ทช. ซึ่งในภาวะวิกฤตตอนนี้หน่วยงานเดียวทำงานไม่พอ ยังมีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งดูแลอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงถิ่นพะยูนอาศัยอยู่ จะต้องร่วมกันทำงาน นอกจากนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรจะลงมาดำเนินการด้วยตัวเอง เพื่อให้กระทรวงเป็นหน่วยบูรณาการ เพราะลำพังกรม ทช. แม้จะพยายามแล้ว แต่ยังมีข้อจำกัดทั้งเรื่องคน และงบประมาณ จึงต้องดำเนินการในระดับนโยบาย
"เรื่องนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรจะมีข้อสั่งการ และต้องเร่งกู้วิกฤตในครั้งนี้โดยเร็ว เพราะต้องอาศัยทั้งคน ความรู้ งบประมาณ และต้องการความเร็วในการทำงาน หากมัวแต่หาสาเหตุเพียงเรื่องเดียว พะยูนคงตายหมด ควรทำด้านการฟื้นฟูควบคู่กันไปด้วย" นายภาคภูมิ กล่าว
ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอันดามัน จังหวัดตรัง บอกอีกว่า จากการบินสำรวจพะยูนล่าสุด ของศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันดามันตอนล่าง พบพะยูนรวมฝูงน้อยลง โดยพบพะยูนทั้งหมด 36 ตัว พบคู่แม่ลูก 1 คู่ ซึ่งปีที่ผ่านมาบินสำรวจพบพะยูน 194 ตัว คู่แม่ลูก 12 คู่ โดยปีนี้ประชากรลดฮวบเสี่ยงสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้เนื่องจากขาดอาหารคือ หญ้าทะเล
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ในวันที่ 13 มี.ค. นี้ นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมทีมนักวิยาศาสตร์ทางทะเล จะลงพื้นที่จังหวัดตรังด่วนอีกครั้ง เพื่อสำรวจสถานการณ์ตลอดจนสาเหตุของหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ตลอดจนจำนวนพะยูนและสัตว์ทะเลหายากที่ลดจำนวนลง โดยจะออกเดินทางจากท่าเรือปากเมง ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เพื่อทำการสำรวจหลายพื้นที่ อาทิ เขตอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเลเกาะลิบง เกาะมุกด์ และแหลมหยงหลำ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นต้น
ทำความรู้จัก "พะยูน" หรือ "หมูน้ำ"
จากข้อมูลในเว็บไซต์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ระบุว่า พะยูน เป็นสัตว์สงวนแห่งท้องทะเล มีรายละเอียดดังนี้
ชื่อเรียก : หมูน้ำ หมูดุด ดูหยง เงือก วัวทะเล และดูกอง
ขนาดแรกเกิด : 1-1.5 ม. / หนักประมาณ 20 กก.
ลำตัว : รูปกระสวยคล้ายโลมา , สีเทาอมชมพู หรือน้ำตาลเทา
หายใจ : ทุก 1-2 นาที
อาหาร : หญ้าทะเล
ส่วน ในเว็บไซต์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุถึงความสำคัญของเจ้าหมูน้ำ ว่า พะยูนกินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะ "หญ้าทะเล" ชนิดต่างๆ ตามแนวชายฝั่ง และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่มีแหล่งหญ้าทะเลหนาแน่น และกว้างใหญ่เพียงพอ จึงถือได้ว่าพะยูนเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศหญ้าทะเลได้เป็นอย่างดี
อีกทั้ง "หญ้าทะเล" ยังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลเป็นอย่างมาก เป็นทั้งออกซิเจน แหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย ที่วางไข่และหลบซ่อนศัตรู ช่วยลดมลพิษในทะเล ปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันการพังทลายของชายฝั่งได้ดี ในบริเวณที่มีหญ้าทะเลขึ้นอยู่ จึงจัดเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตในทะเลไทยอีกด้วย
ของเสียจากพะยูน กลายเป็นปุ๋ยที่มีคุณค่า
การที่พะยูนกินหญ้าทะเลเป็นอาหาร จึงปล่อยของเสียออกมาเป็นปุ๋ยที่มีคุณค่า เป็นอาหารแก่สัตว์น้ำขนาดเล็ก และปลาขนาดใหญ่ สอดคล้องกับ นักวิจัยจาก James Cook University ในออสเตรเลีย ที่พบว่า เมล็ดหญ้าทะเลที่ผ่านระบบย่อยอาหารของสัตว์อย่าง พะยูนและเต่าทะเล งอกเร็วกว่าและมีอัตราการงอกที่สูงกว่าเมล็ดที่หลุดมาจากต้น
จากสถานการณ์ของ "พะยูน" และหญ้าทะเล ทะเลตรัง ดังที่กล่าวมาข้างต้น คงต้องจับตาดูกันต่อว่า จะมีการฝ่าวิกฤตนี้อย่างไร...
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก :
เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ขยะมรสุม MONSOONGARBAGE THAILAND
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ศูนย์ข้อมูลกลางด้านทรัพยากรทางทะเล
คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง