22 ธันวาคม 2565 ความคืบหน้าภารกิจการค้นหากำลังพลของ "เรือหลวงสุโขทัย" ที่ยังสูญหายอีก 23 นาย ที่วันนี้ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง มีการนำมีเรือใหญ่ 4 ลำ คือ เรือหลวงตากสิน , เรือหลวงนเรศวร , เรือหลวงกระบุรี และ เรือหลวงนราธิวาส ร่วมกันค้นหา
ส่วนทางอากาศยาน มีอาศยานประกอบด้วย เครื่องบินดอเนียร์ 2 ลำ , เฮลิคอปเตอร์ , อากาศยานปราบเรือดำน้ำ และอากาศยานจากกองทัพอากาศ รวมถึงกองบินตำรวจส่ง ฮ.เบล 2 เครื่อง ทำให้วันนี้มีเฮลิคอปเตอร์ 5 ลำ และ เครื่องบินลาดตระเวน 2 ลำ ในการปฏิบัติการค้นหา รวมถึง UAV ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงแผนการปฏิบัติการค้นหาและให้การช่วยเหลือกำลังพลบน เรือหลวงสุโขทัย ว่า ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือภาคที่ 1 ยังคงจัดเรือ อากาศยานของกองทัพเรือ และอากาศยานกองทัพอากาศ รวมถึง ศรชล. ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ เข้าร่วมค้นหา โดยเรือหลวงตากสิน อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 5 เรือหลวงนเรศวร อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 9 และทำหน้าที่ควบคุมอากาศยาน เรือหลวงกระบุรี อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 10 และ 11 เรือหลวงนราธิวาส อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 12 เรือ ต.114 ลาดตระเวนเฝ้าตรวจ บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง เรือ ต.270 อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 14
เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบดอร์เนีย จากทัพเรือภาคที่ 1 ทัพเรือภาคที่ 2 และทัพเรือภาคที่ 3 ทำการค้นหาในพื้นที่ค้นหา 6 และ 10 โดยมี เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบซีฮอว์ค และ เฮลิคอปเตอร์ แบบ EC -725 ของกองทัพอากาศ รอรับการส่งกำลังบำรุงในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการ
นอกจากนั้นจะมีกำลังทางเรือของหน่วยงานต่าง ๆ ในศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ประกอบด้วย ตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึง กรมประมง ร่วมปฏิบัติการค้นหาในพื้นที่บริเวณชายฝั่ง
ในส่วนของการสำรวจใต้น้ำนั้น กองทัพเรือ ได้สั่งการให้กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ นำยานสำรวจใต้น้ำ ของเรือหลวงบางระจัน ทำการบันทึกภาพใต้น้ำบริเวณเรือหลวงสุโขทัยอับปาง เพื่อค้นหาร่างของกำลังพลที่อาจติดค้างอยู่ภายในเรือ รวมถึงการตรวจหารอยรั่วของน้ำมันที่อาจเกิดการรั่วไหล
สรุปยอดกำลังพลบนเรือหลวงสุโขทัย จำนวน 105 นาย ช่วยเหลือได้แล้ว 76 นาย เสียชีวิต 6 นาย ยังคงสูญหาย 23 นาย
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย คือ เรือโท สามารถ แก้วผลึก พันจ่าเอก สมเกียรติ หมายชอบ พันจ่าเอก อัชชา แก้วสุพรรณ์ พันจ่าเอก อำนาจ พิมที จ่าเอก จักรพงค์ พูนผล และพลทหาร อัครเดช โพธิ์บัติ ในช่วงบ่ายวันนี้
กองทัพเรือจะเคลื่อนร่างเดินทางกลับอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ จากกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีกำหนดเดินทางถึงสนามบินอู่ตะเภา ในเวลา 14.30 น. ซึ่ง พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ จะเป็นประธานในพิธีรับกำลังพลที่เสียชีวิต
โดยพิธีจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับอย่างสมเกียรติ และในเวลา 17.00 น. จะมีการประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยตั้งบำเพ็ญกุศล ฯ กิจการฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ
สำหรับสิทธิกำลังพลผู้เสียชีวิตนั้น กรณีนี้กองทัพเรือถือว่า เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จะพิจารณาบําเหน็จด้านสิทธิกําลังพลสูงสุดให้แก่กําลังพลดังกล่าว โดยจะพิจารณาเลื่อนชั้นเงินเดือน 3 - 5 ชั้น กับขอพระราชทานเลื่อนยศ 2 - 4 ชั้นยศ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามสิทธิที่สมควรจะได้รับ โดยแยกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
ชั้นยศ "นาวาตรี" จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น "พลเรือโท" กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,0000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1,200,000 บาท
ชั้นยศ "เรือเอก" จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น "พลเรือตรี" กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ผู้ที่มีอายุราชการและฐานเงินเดือนสูงชั้นยศ "พันจ่าเอก" จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น "นาวาตรี" กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท
ชั้นยศ "จ่าตรี - จ่าเอก" จะขอเลื่อนยศและขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น "พันจ่าโท - เรือตรี" กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 900,000 บาท
ทหารกองประจําการ (พลทหาร) จะขอเลื่อนยศเป็น "พันจ่าตรี" กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 100,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาทโดยกองทัพเรือ จะเร่งรัดการ ดําเนินการให้กําลังพล และครอบครัว ได้รับสิทธิกําลังพลเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนในเบื้องต้น ให้แก่กําลังพลและครอบครัวต่อไป