ตลาดหุ้นในเอเชีย-แปซิฟิกบางแห่งปรับตัวลดลงหรือขึ้นเพียงเล็กน้อย และการซื้อขายเบาบางทันทีที่เปิดตลาดในเช้าวันอังคาร (22 เมษายน) โดยดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงลดลง 0.25%, ดัชนี CSI300 ลดลง 0.17% และออสเตรเลียลดลง 0.63% ขณะที่ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ ปรับขึ้น 0.19%
ส่วนดัชนีหุ้นหลัก 3 ตัวของสหรัฐฯ ปิดตลาดลดลงเมื่อวันจันทร์ โดย Dow Jones ลดลง 2.48%, S&P500 ลดลง 2.36% และ Nasdaq ลดลง 2.55% หลังจากระหว่างวันดิ่งลงอย่างแรงก่อนดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงบ่าย นอกจากนี้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างชาติ 6 สกุล โดยลดลงกว่า 1% สู่ระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 3 ปี ส่วนราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 3% ทำสถิติสูงสุดทะลุ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันจันทร์
ปัจจัยที่สร้างความกังวลแก่นักลงทุนมาจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โพสต์โจมตีเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ครั้งใหม่ โดยระบุว่า เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอีก หากพาวเวลล์ที่เขาเรียกว่า นายล่าช้าและผู้แพ้ (Mr. Too Late, a major loser) ไม่ยอมลดดบอกเบี้ยเดี๋ยวนี้
ความเห็นของทรัมป์ล่าสุดมีขึ้นหลังจากพาวเวลล์ บอกเมื่อวันพุธว่า ยังต้องการรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์ รวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากร ก่อนตัดสินใจเรื่องลดดอกเบี้ย และแสดงความกังวลว่า สงครามการค้าอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
แต่ทรัมป์ขู่ในวันพฤหัสบดีทันทีว่า อยากปลดพาวเวลล์ออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่า การรอให้พ้นวาระอาจยังไม่เร็วพอ และบอกชัดเจนว่า “ผมไม่พอใจเขา”
แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคน บอกว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจปลดประธานเฟดเนื่องจากมีความเห็นต่างเรื่องนโยบาย แต่ทรัมป์ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมอยากฉีกบรรทัดฐาน แม้มีแนวโน้มเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลตามมา และนักวิเคราะห์ มองว่า ตลาดหุ้นคงไม่อยากเห็นประธานาธิบดีพยายามควบคุมนโยบายการเงิน ที่จะไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอนในระยะยาว
คณะกรรมการบริหารเฟดมีกำหนดประชุมในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมว่าจะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานอย่างไร ขณะที่นักค้าหุ้นเกือบ 88% คาดหวังว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยตามเดิม