นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการงบประมาณของวุฒิสภาในเช้าวันจันทร์ว่า การหารือประเด็นความมั่นคงควรแยกออกจากการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ หลังจากมีการประชุมหารือช่วงสุดสัปดาห์เกี่ยวกับแนวทางประนีประนอมเพื่อลดการดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในการเจรจาให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายเรื่องภาษีตอบโต้ 24%
อิชิบะ กล่าวว่า เขาไม่เชื่อว่าควรนำเรื่องภาษีและความมั่นคงมาเกี่ยวโยงกันและพิจารณาร่วมกัน เพราะเสี่ยงทำให้บิดเบือนสาระสำคัญของแต่ละเรื่องได้
เมื่อวันศุกร์นายเกน นากะตานิ รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเจรจาใหม่เกี่ยวข้อตกลงร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการประจำการของทหารสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ก่อนข้อตกลงหมดอายุในปี 2570
ที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ บ่นซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า หุ้นส่วนความมั่นคงของสหรัฐฯ ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการป้องกันประเทศอย่างเป็นธรรมกับสหรัฐฯ นัก และอยากให้ญี่ปุ่นจ่ายเพิ่ม และเขาหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยตอนที่เขาพบกับเรียวเซอิ อากาซาวะ รัฐมนตรีฟื้นฟูเศรษฐกิจและผู้แทนเจรจาของญี่ปุ่น ที่เดินทางไปเริ่มเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
และหลังการเจรจาดังกล่าวรัฐบาลญี่ปุ่นได้หารือข้อเสนอต่าง ๆ สำหรับการเจรจาครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในเดือนนี้ สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำเข้าถั่วเหลืองและข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีกล่าวทางทีวีเมื่อวันอาทิตย์ว่า ข้อเสนอที่จะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารจะไม่นำเข้าสู่โต๊ะเจรจา และส่งสัญญาณว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเพิ่มขึ้นเพื่อหาทางลดยอดการดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อญี่ปุ่น ที่สูงถึง 63,000 ล้านดอลาร์
นอกจากนี้สื่อรายงานด้วยว่า รัฐบาลอาจผ่อนคลายข้อบังคับเรื่องความปลอดภัยสำหรับการนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ และอาจทบทวนเรื่องเกณฑ์การชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่า เป็นกำแพงการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แต่รัฐบาลจะยังไม่รีบตกลงใด ๆ เรื่องนี้ เพราะอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น
สหรัฐฯ ต้องการให้ญี่ปุ่นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่ดีลเลอร์ในญี่ปุ่นบางราย มองว่า รถยนต์สหรัฐฯ มีหลายปัจจัย เช่น ขนาดและการประหยัดน้ำมัน ที่ไม่ตรงกับความต้องการในตลาดญี่ปุ่น
ส่วนประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูดถึงในการเจรจารอบแรก แม้ค่าเงินเยนเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองเพราะสหรัฐฯ บอกว่า ค่าเงินเยนอาจอ่อนเกินไป