ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ มียอดรายได้เกินดุลกับประเทศอื่น ๆ มาอย่างยาวนาน โดยสร้างรายได้เกือบ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 และสนับสนุนการจ้างงานเกือบ 15 ล้านตำแหน่ง และในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากกว่า 72 ล้านคนเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ
แต่ล่าสุดจำนวนการเดินทางจากต่างประเทศเข้าสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคมลดลง 11.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวจากอเมริกากลางลดลง 24% และยุโรปตะวันตกลดลง 17% โดยเฉพาะเยอรมนีและสเปนลดลงมากที่สุด คือ 28% และ 25% ตามลำดับ ขณะที่ยังไม่รวมตัวเลขนักท่องเที่ยวจากแคนาดา ที่เป็นแหล่งตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ
ส่วนจำนวนการเดินทางด้วยรถยนต์ข้ามพรมแดนจากแคนาดาเข้าสู่สหรัฐฯ ลดลงถึง 32% นอกจากนี้จำนวนคนเดินทางด้วยเครื่องบินจากสหรัฐฯ กลับไปแคนาดาลดลง 13.5%
ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งรวมถึง ผลกระทบจากสงครามการค้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทยอยประกาศขึ้นภาษีศุลกากรหลายระลอกต่อหลายประเทศทั่วโลก ครอบคลุมแม้กระทั่งแคนาดาและเม็กซิโก ที่เป็นเพื่อนบ้าน, วาทกรรมทางการเมืองในแง่ลบกระทบต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ และการควบคุมพรมแดนเข้มงวดขึ้น
สมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐฯ ประเมินว่า การท่องเที่ยวอาจสูญรายได้ 72,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และสถาบันการเงินโกลด์แมนแซคส์ ประเมินว่า ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด การท่องเที่ยวลดลงอาจทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของสหรัฐฯ ลดลง 0.3% หรือสูญรายได้เกือบ 90,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่บริษัทวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว “Tourism Economics” เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 3 เมษายน คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ จะลดลง 9.4% ในปี 2568 สวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 9% จากรายงานที่เผยแพร่ช่วงต้นปีนี้