จีนประกาศในวันพุธ (16 เมษายน) แต่งตั้งหลี่ เฉิงกัง อดีตผู้แทนถาวรของจีนประจำองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์และผู้แทนเจรจาการค้าระหว่างประเทศคนใหม่ แทนหวัง โส่วเวิน ที่ดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี 2565
การแต่งตั้งมีขึ้นในขณะที่ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้นี้ และนักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนตัวอย่างกะทันหันสะท้อนว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนร้อนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และจีนอาจต้องการใครสักคนที่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้
นักวิเคราะห์ มองด้วยว่า นายหวังมีประสบการณ์เจรจากับสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่นายหลี่ก็มีประสบการณ์เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งใหม่นี้เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านการค้าอย่างกว้างขวางจากการทำงานในกระทรงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2553 และเคยเป็นผู้แทนประจำ WTO และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ
ขณะที่เอกสารทางการจีน ระบุว่า เหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ในช่วงรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก หลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้นก็เป็นหัวหน้าคณะเจรจา และสามารถลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับสหรัฐฯ เพื่อคลี่คลายสงครามการค้า
นอกจากนี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงในวันนี้เพื่อตอบโต้คำแถลงของทำเนียบขาวที่บอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้จีนเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาก่อน โดยบอกว่า สหรัฐฯ เป็นฝ่ายขึ้นภาษีศุลกากรก่อน และจีนดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และความเป็นธรรมและความยุติธรรมในเวทีระหว่างประเทศ
โฆษกบอกด้วยว่า หากสหรัฐฯ ต้องการเจรจาอย่างแท้จริง ก็ควรหยุดใช้แรงกดดันอย่างสูงสุด และยุติการข่มขู่และการแบล็กเมล นอกจากนี้สหรัฐฯ ควรเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียม, การเคารพซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้จีนย้ำจุดยืนสร้างเอกภาพในเวทีระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านกำแพงภาษีของทรัมป์ และบอกด้วยว่า จีนต้องการจับมือมากกว่าชูกำปั้น, พังทลายกำแพงแทนก่อกำแพง และเชื่อมโยงแทนการแยกขาดหรือแบ่งขั้ว
ในวันเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน แถลงว่า จีนประณามอย่างรุนแรงต่อกำแพงภาษีและพฤติกรรมทางการค้าของสหรัฐฯ ที่คุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของโลก, ละเมิดหลักการทางเศรษฐกิจ และขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และแม้การขึ้นภาษีในอัตราสูงมากของสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศของจีน แต่มั่นใจว่า มาตรการของสหรัฐฯจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว และเชื่อมั่นว่าจีนจะฝ่าฟันความท้าทายภายนอกและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาได้
นอกจากนี้ข้อมูลของสำนักงานสถิติ ระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของจีน ขยายตัว 5.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเท่ากับตัวเลขในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
ตัวเลขดังกล่าวเติบโตเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.1% จากผลสำรวจของรอยเตอร์ แม้คำขู่ขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่งปรับลดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจีนในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์ เตือนว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าจะเห็นได้ชัดในเดือนหน้า โดยเฉพาะยอดส่งออกจะตกลงอย่างแรง
ขณะที่จีนย้ำว่ามีนโยบายมากมายที่จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสัญญาว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยและลดอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์เมื่อถึงเวลาเหมาะสม และกระทรวงพาริชย์ประกาศ 48 มาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ