ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปิดการซื้อขายวันอังคาร (8 เมษายน) โดยขยับขึ้นไปอยู่ในแดนบวก หลังจากร่วงอย่างหนักตลอด 4 วัน นับจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้กับทุกประเทศเมื่อวันพุธ (2 เมษายน) โดยดัชนี CSI300 ของจีน ปิดตลาดสูงขึ้น 1.7% และดัชนี Shanghai Composite ปรับขึ้น 1.6% หลังจากทั้งสองตลาดปิดตลาดลดลงกว่า 7% เมื่อวันจันทร์ (7 เมษายน)
ส่วนดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปิดตลาดสูงขึ้น 1.5% หลังจากดิ่งลงอย่างแรงถึง 13.2% หนักที่สุดในรอบ 28 ปี นอกจากนี้ดัชนี Nikkei225 ของญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 6% และตลาดหุ้นในเกาหลีใต้และออสเตรเลียปิดบวกเช่นกัน
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในยุโรปสดใสขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปิดตลาดเช้านี้ โดยดัชนี FTSE100 ของอังกฤษ ขยับขึ้น 1%, ดัชนี Cac40 ของฝรั่งเศส ปรับตัวสูงขึ้น 1.8% และดัชนี Dax ของเยอรมนีปรับขึ้น 1.3%
นักวิเคราะห์ มองว่า การรีบาวด์ของตลาดอาจเป็นเพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเชื่อว่า ชาติต่าง ๆ จะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในการระงับการขึ้นภาษีชั่วคราว หรือ อาจมีสัญญาณบวกของการเจรจา
แต่นักวิเคราะห์ เตือนด้วยว่า ยังอันตรายหากคิดว่าตลาดจะอยู่ในแดนบวกต่อไป เพราะตลาดจะยังเปราะบางเช่นนี้ต่อไปอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์ และอาจเกิดความโกลาหลได้อีก เมื่อทรัมป์ส่งสัญญาณเกรี้ยวกราดครั้งใหม่ หรือ ชาติคู่ค้าตอบโต้กลับอย่างรุนแรง
สัญญาณบวกในตลาดหุ้นมีขึ้นแม้จีนประกาศวันนี้ว่าจะไม่ยอมรับแรงกดดันหรือคำขู่ครั้งใหม่ของทรัมป์ ที่จะปรับภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 50% ที่จะทำให้อัตราภาษีสูงขึ้นรวมเป็น 104% และยืนยันจะต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของชาติ คำขู่ของทรัมป์เมื่อวันจันทร์ต้องการบีบให้จีนยกเลิกการประกาศภาษีตอบโต้ 34% กับสินค้าสหรัฐฯ เท่ากับภาษีอัตราใหม่ที่สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บจากจีนเพิ่มขึ้นในวันพุธ (9 เมษายน)
นอกจากนี้อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีน และเห็นพ้องร่วมกันว่า จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการยกระดับสงครามการค้าในขณะนี้ และเป็นความรับผิดชอบของยุโรปและจีน ในฐานะสองตลาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่จะสนับสนุนระบบการค้าที่มีการปฏิรูปอย่างเข้มแข็ง เสรี และเป็นธรรม และตั้งอยู่บนรากฐานของการแข่งขันอย่างเท่าเทียม
ขณะที่นักวิเคราะห์ มองว่า การต่อสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ของจีน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของรัฐบาลปักกิ่งว่าจะสามารถยืนหยัดต้านทานการรังแกฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ ได้ และยังไม่มีสัญญาณว่า ใครจะยอมใคร เพราะทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีทรัมป์ต่างมีศึกแห่งศักดิ์ศรีค้ำคออยู่
สื่อของทางการจีนตีพิมพ์บทความที่บ่งชี้ว่า มาตรการภาษีของทรัมป์ย่อมมีผลกระทบต่อจีน แต่ไม่ถึงขั้นฟ้าถล่ม และมั่นใจว่าจีนสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสอีกด้วย
นักวิเคราะห์ มองว่า จีนกำลังส่งสารถึงทั่วโลกว่า ไม่ควรยอมก้มหัวหรืออดกลั้นต่อการรังแกของสหรัฐฯ เพราะการอดกลั้นจะทำให้ถูกรังแกมากขึ้น และเวลานี้จีนและสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันจัดระเบียบการค้าโลก
ขณะที่ชาติคู่ค้าจีนยังอาจไม่ไว้ใจจีนนัก เพราะที่ผ่านมามองว่าจีนใช้โอกาสเข้าถึงตลาดใหญ่เป็นอาวุธในการขู่เข็ญประเทศอื่น และกังวลว่าสินค้าส่งออกของจีนจะทะลักเข้าท่วมตลาดหรือไม่ แต่ประเทศเหล่านี้ก็มีทางเลือกไม่มากนัก และอาจต้องกระชับสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน หากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ กลายเป็นวิถีปกติใหม่