หุ้นสหรัฐฯ ร่วง ก่อนทรัมป์ขึ้นภาษีตอบโต้กับทุกประเทศ 2 เม.ย.

ดัชนี Dow Jones เปิดตลาดลดลง 0.75% ในเช้าวันจันทร์ (31 มีนาคม) ตามเวลาสหรัฐฯ และดัชนี S&P 500  ลดลง 1.3% และดัชนี Nasdaq ร่วง 2.3%

นอกจากนี้หุ้นของเทสลา ของมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ดิ่งหนักถึง 7% และหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง แอปเปิล, ไมโครซอฟต์, อินวิเดีย, อัลฟาเบท และเมตา ปรับตัวลดลงถ้วนหน้า

ปัจจัยที่สร้างความกังวลให้นักลงทุนมาจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายนนี้จะครอบคลุมทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ 10-15 ประเทศ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และวันดังกล่าวจะเป็น “วันปลดแอก” ของสหรัฐฯ โดยเขาพุ่งเป้าเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ในอัตราเดียวกับที่สินค้าสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีในประเทศนั้น ๆ

ทรัมป์กำลังจะเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยความสำเร็จของการได้รับเลือกตั้งสมัยที่ 2, เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินในกระเป๋าของชาวอเมริกันหลายล้านคน จากการขึ้นภาษีครั้งใหม่ โดยเขาเชื่อว่า การขึ้นภาษีนำเข้า จะบีบให้บริษัทต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตและซัพพลายเชนสู่สหรัฐฯ ที่จะทำให้เกิดการจ้างงานและชุบฟื้นภาคการผลิตในประเทศ

แต่นักวิเคราะห์ มองว่า ทรัมป์กำลังจะทำให้สหรัฐฯ หวนคืนสู่ยุคเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ในเมื่อยุคนี้ความได้เปรียบด้านการแข่งขันและอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ที่อุตสาหกรรมการบริการ, เทคโนโลยี และการสร้างงานและการค้าที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์

นักเศรษฐศาสตร์ บอกด้วยว่า การขึ้นภาษีในวงกว้างครั้งใหม่จะยิ่งทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเผชิญภาวะถดถอย โกลด์แมน แซ็คส์ ปรับการประเมินใหม่เมื่อวันอาทิตย์ว่า มีโอกาส 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 20% ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้

ยิ่งกว่านั้นการคาดเดาไม่ได้ของนโยบายการค้าและภาษีของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการขยายเส้นตาย, เสนอข้อยกเว้น, กลับลำนโยบาย และเพิ่มมาตรการเป็นสองเท่า ที่สร้างความสับสนให้กับตลาด ได้สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐฯ พอ ๆ กับตัวนโยบายที่เขาประกาศ

และตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูญเงินหลายล้านล้านดอลลาร์แล้วจากนโยบายสงครามการค้าของทรัมป์ ที่ไม่มีความแน่นอน และสั่นสะเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ร่วงลงไปกว่า 5% ในปีนี้