ปูตินระงับโจมตีโรงไฟฟ้ายูเครน 30 วัน แต่ไม่หยุดยิงเต็มรูปแบบ

ทำเนียบเครมลินของรัสเซีย เปิดเผยว่า ภายหลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สนทนาทางโทรทัพท์เป็นเวลา 90 นาทีเมื่อวันอังคาร (18 มีนาคม) ประธานาธิบดีปูตินสั่งให้กองทัพหยุดการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครนเป็นเวลา 30 วันทันที และยอมแลกเปลี่ยนเชลยสงครามฝ่ายละ 175 คน รวมไปถึงส่งคืนทหารยูเครนที่รักษาตัวในรัสเซียอีก 23 คน โดยจะมีขึ้นในวันพุธ (19 มีนาคม) และเสนอจัดแข่งขันฮ็อกกีระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ

แต่ผู้นำรัสเซียยังไม่ตอบตกลงรับแผนหยุดยิงนาน 30 วันที่เสนอโดยทรัมป์และยูเครนแสดงจุดยืนพร้อมปฏิบัติตาม โดยข้อเสนอนี้กำหนดให้หยุดโจมตีทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเล โดยไม่มีเงื่อนไข

ด้านทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ผู้นำทั้งสองตกลงร่วมกันว่า รัสเซียจะเริ่มหยุดยิงโจมตีด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน และจะเริ่มการเจรจาทางเทคนิคเกี่ยวกับการหยุดยิงทางทะเลในทะเลดำ รวมไปถึงการหยุดยิงเต็มรูปแบบและสันติภาพถาวรในยูเครน และจะเริ่มการเจรจรทางเทคนิคเกี่ยวกับตะวันออกกลางโดยทันที

ขณะที่ทำเนียบเครมลิน บอกด้วยว่า เงื่อนไขสำหรับการหยุดยิงในวงกว้างกว่าว่า ยูเครนจะต้องไม่เสริมกำลังทหารและอาวุธในช่วงหยุดยิง และจะต้องไม่มีการให้ความช่วยเหลือทางทหารและข่าวกรองจากชาติตะวันตกแก่ยูเครนอีก แต่ทำเนียบขาวไม่ระบุเรื่องความช่วยเหลือทางทหารในแถลงการณ์ และทั้งสองฝ่ายไม่ได้ระบุว่ามีเรื่องดินแดนของยูเครนในการพูดคุยของผู้นำทั้งสอง แม้ก่อนหน้านี้ทรัมป์ บอกว่า ทีมเจรจาของสองชาติได้พูดคุยเรื่องการแบ่งสินทรัพย์บางอย่าง ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุติสงคราม และเขาจะพูดคุยกับปูตินเรื่องดินแดนและโรงไฟฟ้าในยูเครน

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน โพสต์ในโซเชียลมีเดียว่า รัสเซียยังคงส่งโดรนโจมตี รวมถึงโจมตีกรุงเคียฟ และยังคงโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าปูตินไม่มีเจตนาต้องการสันติภาพ และเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรเพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียยอมรับข้อตกลงสันติภาพผ่านการคว่ำบาตรและมาตรการอื่น ๆ และปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัสเซียที่ให้ระงับการช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน

เขาย้ำด้วยว่า ปูตินยังคงปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบ และเป็นสิทธิของทั้งโลกที่จะตอบสนองด้วยการขัดขวางความพยายามของปูตินที่จะทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไป

นักวิเคราะห์ มองว่า ผลการพูดคุยแสดงให้เห็นว่า แทบไม่มีอะไรให้ทรัมป์อวดอ้างความสำเร็จครั้งใหญ่ตามที่เขาป่าวประกาศไว้ก่อนหน้า โดยปูตินยื่นผลคืบหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทรัมป์กล่าวอ้างได้ โดยไม่ทำให้ตัวเองถูกมองว่า ตกอยู่ในเกมของทรัมป์ ขณะที่ทรัมป์ไม่ได้อะไรใกล้เคียงกับการหยุดยิงอย่างสิ้นเชิงโดยไม่มีเงื่อนไขอย่างที่เขาคาดหวังจากรัสเซีย ถือเป็นศิลปะการปฏิเสธข้อตกลงของฝ่ายรัสเซีย และเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดสำหรับทรัมป์ในเกมการทูตยามสงครามครั้งแรกกับรัสเซีย รวมทั้งเป็นชัยชนะทางการทูตของรัสเซีย