สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติเมื่อค่ำวันพฤหัสบดี (19 ธันวาคม) ด้วยเสียง 235 เสียง ต่อ 174 เสียง คัดค้านร่างบประมาณที่จะจัดสรรเงินให้หน่วยงานรัฐชั่วคราว และระงับเพดานหนี้ชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์รัฐบาล ก่อนถึงเส้นตายในคืนวันศุกร์ (20 ธันวาคม)
การลงมติครั้งนี้มีเสียงคัดค้านจากสส. เดโมแครตทั้งหมด และสส.รีพับลิกันหัวขวาจัด 38 คน ซึ่งแตกแถวลงมติคัดค้านร่างงบประมาณใหม่ที่เสนอโดยว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างกะทันหัน เนื่องจากเห็นว่า ร่างงบประมาณจะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะอีกหลายล้านล้านดอลาร์จากปัจจุบัน 36 ล้านล้านดอลลาร์
ร่างงบประมาณฉบับเดิมที่จะจัดสรรเงินชั่วคราวแก่หน่วยงานภาครัฐถึงวันที่ 14 มีนาคม ได้รับการเจรจาภายใต้การนำของไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน และได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต
แต่ทรัมป์ และ เจดี แวนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดี โน้มน้าวให้สส.รีพับลิกันคัดค้านร่างดังกล่าว โดยมีอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีพันล้าน ที่รับหน้าที่คุมกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลในรัฐบาลใหม่ของทรัมป์ เพื่อทำหน้าที่ตัดรายจ่ายของรัฐบาล โพสต์รัวใน X เรียกร้องให้ สส.โหวตคว่ำร่างดังกล่าว นอกจากนี้ทรัมป์ผลักดันข้อเสนอใหม่ที่ให้ปรับเพิ่มเพดานหนี้หรือยกเลิกเพดานหนี้ทั้งหมด ก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
และร่างงบประมาณใหม่ที่ได้รับการแก้ไขตามข้อเสนอของทรัมป์กำหนดจัดสรรงบให้รัฐบาลเพียง 3 เดือน ชะลอการบังคับเพดานหนี้จนถึงปี 2570 เพื่อให้รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้เพิ่มขึ้น และกำหนดงบประมาณบรรเทาภัยพิบัติ 110,000 ล้านดอลลาร์
สส.เดโมแครตวิจารณ์ว่า การระงับเพดานหนี้จะทำให้ทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายลดภาษีได้ง่ายขึ้น แต่จะเพิ่มหนี้สาธารณะแก่ประเทศอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ รวมทั้งวิจารณ์ว่า พรรครีพับลิกันต้องการแสดงความภักดีต่อทรัมป์ เหนือความรับผิดชอบในฐานะสส.
ความล้มเหลวในการผลักดันร่างงบประมาณใหม่นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่สำหรับทรัมป์ และมัสก์ และสะท้อนถึงขีดจำกัดของอิทธิพลที่ทรัมป์มีต่อพรรครีพับลิกัน นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณถึงความยุ่งเหยิงและความไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของพรรครีพับลิกันและทรัมป์ที่จะเริ่มขึ้นในต้นปีหน้าอีกด้วย
ประธานสภาสัญญาจะเสนอร่างงบประมาณอีกครั้ง แต่หากสภายังไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณใหม่ที่จะจัดสรรเงินแก่หน่วยงานภาครัฐภายในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ จะทำให้หน่วยงานบางส่วนต้องปิดทำการ ที่จะส่งผลให้พนักงานภาครัฐมากกว่า 2 ล้านคนจะไม่ไดรับเงินเดือนก่อนช่วงวันหยุดคริสต์มาสนี้ และส่งผลให้ต้องตัดงบทันทีแก่หน่วยงานหลายหน่วย ตั้งแต่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจนถึงอุทยานแห่งชาติ
ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มีการงัดข้อเรื่องร่างงบประมาณหลายครั้ง และในช่วงปี 2561-2562 หน่วยงานของรัฐบาลต้องชัดตาวน์นาน 34 วัน ซึ่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ