5 ธันวาคม 2567 "คุณปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี" ยังคงอยู่ที่ "ประเทศอิสราเอล" เพื่อติดตามสถานการณ์ใน "อิสราเอล" หลังทำข้อตกลงหยุดยิงกับ "กลุ่มฮิซบอลเลาะห์" ดีขึ้นจริงหรือไม่
อิสราเอลยังควรเป็นจุดหมายปลายทางให้ "แรงงานไทย" ได้ไปขุดทองต่อ จริงหรือเปล่า
แม้ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลจะแสดงความเชื่อมั่นว่า ความปลอดภัยในประเทศของตนขณะนี้มีมากถึง 95% หลังจากรัฐบาลและกองทัพใช้ปฏิบัติการทางทหาร
เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่เกิดขึ้นจากการโจมตีครั้งประวัติศาสตร์โดยกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 หรือเกือบ 1 ปี 2 เดือนที่ผ่านมาก็ตาม
โดยคำยืนยันนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจในการส่งแรงงานต่างชาติ รวมทั้งคนงานไทยไปทำงานในอิสราเอล เพราะประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เนื่องจากการสู้รบเริ่มเบาบางลง
แต่ทว่าเมื่อ “เนชั่นทีวี” ได้นั่งคุยเชิงลึกอย่างตรงไปตรงมากับ ผู้พัน แดนนี่ รอสส์ (Major Danny Ross) โฆษก IDF หรือ กองกำลังป้องกันอิสราเอล (Israel Defense Forces) เรากลับได้รับข้อมูลที่แตกต่างออกไป
คุณปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี กับ กับ ผู้พัน แดนนี่ รอสส์ โฆษก IDF
เพราะ โฆษก IDF ในฐานะทหารที่ปฏิบัติงานจริงในภาคสนาม ยังไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ได้ว่าปลอดภัย 100% เนื่องจากการสู้รบและความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางตอนใต้ของประเทศ
ในดินแดนฉนวนกาซา ที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มฮามาส หรือทางตอนเหนือของประเทศด้านที่ติดกับพรมแดนเลบานอน ซึ่งเพิ่งทำข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ก็ตาม
การพบปะพูดคุยกับ โฆษก IDF มีขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนภูเขาคาร์เมล (Carmel) ในเมืองไฮฟา เมืองใหญ่อันทันสมัยทางตอนเหนือของอิสราเอล ห่างจากพรมแดนเลบานอนเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
จุดชมวิว ชี้ให้ดูชายแดนเลบานอน
ผู้พันแดนนี่ พา “เนชั่นทีวี” ไปดูสภาพภูมิประเทศบนจุดชมวิวที่มองเห็นท่าเรือ โรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเคมีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และความใหญ่โตอลังการของเมืองไฮฟา
ทั้งยังสามารถมองเห็นพรมแดนของเลบานอนซึ่งมีการสู้รบกันระหว่างกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ กับ IDF มานานหลายเดือน และเพิ่งทำข้อตกลงหยุดยิงกันไปเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ผู้พันแดนนี่ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ความจริงแล้วการโจมตีก็ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจึงยังไม่ปลอดภัย 100% ผู้คนที่ต้องอพยพหนีภัยการสู้รบ ยังไม่สามารถกลับไปพำนักยังที่พักของตนเอง หรือเข้าไปทำงานในพื้นที่เกษตรกรรมได้ตามปกติ
แต่ขณะเดียวกัน หากมองในแง่ดี สถานการณ์โดยรวมก็คลี่คลายลง และข้อตกลงหยุดยิงก็ยังมีผลอยู่ ยังไม่ได้ถูกยกเลิกไป เพียงแต่ในฐานะที่เป็นทหาร มองว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าทุกอย่างจะจบลง เพราะสถานการณ์ยังคงเปราะบางอย่างมาก
โฆษก IDF อธิบายว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ทั้งการทำลายโครงสร้างพื้นฐาน การกำจัดผู้นำระดับต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์ เพื่อทำลายโครงสร้างการบังคับบัญชา รวมทั้งการสกัดกั้นการสนับสนุนทางการเงิน ตลอดจนลักลอบค้าและส่งยุทโธปกรณ์เข้าไปในพื้นที่
แต่สาเหตุที่ไม่สามารถการันตีได้ว่า “ทุกอย่างจบ” ก็เพราะปฏิบัติการภาคพื้นดินมีความซับซ้อน เราพบอุโมงค์ขนาดใหญ่ซึ่งเก็บเครื่องแบบทหาร อาวุธ และยุทธสัมภาระต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากที่สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับตัวของทหาร
ความหมายก็คือกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ปลอมเป็นพลเรือน ปะปนอยู่กับพลเรือน เมื่อสบโอกาสก็ลงไปในอุโมงค์ และกลับออกมาในชุดทหาร พร้อมอาวุธครบมือ หรือหลายๆ ครั้งเราพบพลเรือนในชุดคลุมของสตรีเดินหิ้วของมา แต่แล้วเขาก็เปิดชุดออกแล้วดึงปืนออกมายิงใส่ทหารอิสราเอล
ผู้พันแดนนี่ ถอดบทเรียนจากสมรภูมิจริงที่พวกเขาต้องเผชิญว่า ความยากลำบากในการสู้รบในเขตเมือง หรือ urban warfare คือการไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นพลเรือน ใครเป็นผู้ก่อการร้ายหรือนักรบ หลายครั้งกองกำลังอิสราเอลถูกประณามว่าโจมตีพลเรือนทั้งที่เรื่องจริงคือตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือฮามาส เขาสร้างอุโมงค์ไว้ใต้บ้านของพลเรือนเพื่อซ่อนขีปนาวุธ เมืองถูกใช้เป็นฐานทัพของทหาร ไม่ว่าประชาชนจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าไม่ยอมก็ต้องตาย
สิ่งสำคัญที่สุดคือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีปัญหา ทำให้ถูกแทรกแซงจากฝ่ายที่สาม โดยเฉพาะอิหร่าน และใช้กองกำลังที่จัดตั้งขึ้น เคลื่อนไหวและควบคุมพื้นที่บางส่วนรอบๆ อิสราเอล เพื่อโจมตีอิสราเอล
โฆษก IDF ยังพูดแทนกองกำลังป้องกันอิสราเอล ว่า พวกตนไม่ได้ต้องการสงคราม ไม่อยากให้สงครามลุกลาม หรือเพิ่มขึ้นอีก และไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ยืนยันว่าปฏิบัติการของอิสราเอลคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซาตามที่มีบางฝ่ายพยายามโจมตี
แต่ปฏิบัติการในฉนวนกาซา เป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งทุกฝ่ายทราบเหตุผลดี และที่สำคัญยังคงมีตัวประกันอีก 101 คนที่อิสราเอลต้องช่วยเหลือกลับออกมา จึงไม่สามารถเปิดปฏิบัติการได้อย่างเต็มรูปแบบ
ในสถานการณ์ที่การสู้รบไม่สามารถยุติลงได้อย่างสมบูรณ์ และสันติภาพก็ดูจะเกิดได้ยากในดินแดนแถบนี้
การทำความเข้าใจกับสังคมโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ และนี่เองจึงเกิดโครงการที่กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอล เชิญสื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจ และภาคประชาสังคม ตลอดจนเอ็นจีโอ จากประเทศต่างๆ ไปศึกษาและสัมผัสข้อมูลจริงถึงประเทศอิสราเอล
โดย “เนชั่นทีวี” เป็นสื่อ 1 ใน 3 สำนักของประเทศไทยที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอล บอกกับเราอย่างหนักแน่น ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ไม่ใช่ระหว่างอิสราเอลกับอาหรับ ไม่ใช่ระหว่างยิวกับมุสลิม และไม่ใช่ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ แต่เป็นอิสราเอลกับกลุ่มก่อการร้ายฮามาส
เป็นการต่อสู้กันระหว่าง moderates กับ radicals (โมเดอเรต กับ เรดิคัล) หรือระหว่างสายกลาง กับพวกสุดโต่ง-หัวรุนแรง
และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ซากปรักหักพังของอาคารสถานที่ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่ถูกทำลายจากการโจมตีของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ยังคงถูกเก็บไว้ในสภาพเดิม เสมือนหนึ่งเพื่อฟ้องชาวโลก และเตือนใจคนอิสราเอลเอง
เช่น ที่ชุมชนเกษตร “เบ-รี่” หรือ คิบบุตส์ เบ-รี่ / สถานที่แสดงคอนเสิร์ต “โนวา ไซต์” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก โดยสองจุดนี้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน บาดเจ็บและถูกจับเป็นตัวประกันอีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังรวมถึง “สุสานรถ ทะคูม่า” ซึ่งมีการนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตลอดจนรถพยาบาลที่ถูกกลุ่มฮามาสเผาทำลาย และฆ่าคนในรถ หรือจับไปเป็นตัวประกัน มากองรวมกันไว้
เพื่อเป็นดั่ง "อนุสรณ์ความโหดร้ายของกลุ่มฮามาส" และยืนยันความชอบธรรมในการทำสงคราม ปกป้องตนเองของอิสราเอล
ดูคลิป