โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ โพสต์ในแพลตฟอร์มโซเชียล ทรูธ ของตัวเองเมื่อวันจันทร์ว่า ในวันที่ 20 มกราคม หนึ่งในคำสั่งของฝ่ายบริหารที่เขาจะลงนาม คือ คำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าทั้งหมดของเม็กซิโกและแคนาดาที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ และการบังคับใช้ภาษีอัตราใหม่นี้จะมีผลจนกว่าสองประเทศจะปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะเฟนทานิล และผู้อพยพที่ข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย
นอกจากนี้เขาบอกด้วยว่า จนกว่าจีนจะหยุดยั้งการขนส่งยาเสพติดผ่านชายแดนเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ รัฐบาลจะปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับจีนอีก 10% เพิ่มจากอัตราปัจจุบัน ครอบคลุมสินค้าทั้งหมดที่ส่งเข้าสู่สหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะยุติสถานะชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่งที่มอบให้จีน ซึ่งเป็นการให้สิทธิพิเศษทั้งในเรื่องภาษีศุลกากรและระเบียบข้อบังคับอื่น ๆ และจะเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนทุกชนิด 60% สูงกว่าอัตราที่เคยบังคับใช้ในรัฐบาลสมัยแรกของเขา
ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในช่วงเปราะบางกว่าช่วงทรัมป์สมัยแรก เนื่องจากยังคงเผชิญกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวยืดเยื้อ, ความเสี่ยงเรื่องหนี้ และความต้องการภายในประเทศลดลง
โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า ความคิดที่ว่าจีนปล่อยให้สารตั้งต้นเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงและความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง และจีนเชื่อว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน และไม่มีใครชนะในสงครามการค้า หรือ สงครามภาษี
ขณะที่การขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ต่อสินค้าจากเม็กซิโกอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ ซึ่งรวมถึง ผู้ผลิตยานยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียหลายราย ที่ใช้เม็กซิโกเป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำเพื่อส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ในปี 2566 สินค้าส่งออกมากกว่า 83% ของเม็กซิโกส่งไปสหรัฐฯ และสินค้าส่งออก 75% ของแคนาดาถูกส่งไปสหรัฐฯ
นักเศรษฐศาสตร์ บอกด้วยว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์จะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนล่มสลาย เผชิญการตอบโต้ และส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนครั้งใหญ่ รวมทั้งบริษัทนำเข้าสินค้าอาจผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้า