ผู้ต้องหาทั้ง 45 คน ซึ่งมีทั้งอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติ, นักเคลื่อนไหว, แกนนำสหภาพแรงงาน และสื่อมวลชน ถูกนำตัวขึ้นศาลเกาลูนตะวันตกในวันอังคาร (19 พฤศจิกายน) และได้รับคำตัดสินลงโทษจำคุกระหว่าง 50 เดือนถึง 10 ปี ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีครั้งใหญ่ที่สุดคดีเดียวภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่รัฐบาลจีนเริ่มบังคับใช้ในปี 2563
เบนนี ไท่ นักวิชาการด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นแกนนำการประท้วงใหญ่ของฮ่องกงในปี 2562 ได้รับโทษหนักที่สุด คือ จำคุก 10 ปี โดยอัยการระบุว่า เขาเป็นผู้จัดการชุมนุม
นอกจากนี้นักการเมืองอีก 3 คน และพลเมืองออสเตรเลีย 1 คน ได้รับโทษจำคุก 7 ปี 3 เดือน ส่วนโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวคนดัง ที่เป็นแกนนำนักศึกษา ต้องโทษจำคุก 4 ปี 8 เดือน และผู้ต้องหาอีก 39 คน ได้รับโทษตั้งแต่ 4 ปี 2 เดือนขึ้นไป
ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และกลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามคำตัดสิน และระบุว่าเป็นหลักฐานแสดงถึงการเสื่อมถอยของเสรีภาพทางการเมืองในฮ่องกง นับจากจีนเริ่มบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง หลังจากมีการประท้วงใหญ่และการประท้วงรุนแรงหลายครั้งในฮ่องกงในปี 2562
เดิมมีการตั้งข้อหากับ 47 คน ที่ถูกจับกุมในเดือนมกราคม 2564 ฐานสมรู้ร่วมคิดโค่นล้มรัฐบาล จากการมีส่วนร่วมจัดการเลือกตั้งขั้นต้นอย่างไม่เป็นทางการเพื่อเพิ่มโอกาสชนะของฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัตในปี 2563 และ 31 คน ยอมรับสารภาพว่ากระทำผิด ส่วนอีก 16 คน สู้คดีในศาลรวมระยะเวลา 118 วัน ในปีที่แล้ว ซึ่ง 14 คนถูกตัดสินว่ามีความผิด และอีก 2 คนพ้นผิดในเดือนพฤษภาคม
การเลือกตั้งขั้นต้นจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกผู้สมัครที่สนับสนุนประชาธิปไตย ไปชิงตำแหน่งสมาชิกสภา โดยคาดหวังว่าจะสามารถครองเสียงข้างมาก และบีบให้รัฐบาลยอมทำตามข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง ซึ่งรวมถึงสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป ด้วยการขู่ลงมติคว่ำกฎหมายงบประมาณ ที่จะส่งผลให้ผู้นำฮ่องกงต้องยุบสภา
อัยการ กล่าวหาว่า ทั้ง 45 คนวางแผนโค่นล้มรัฐบาล และผู้พิพากษาอาวุโส 3 คน ที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลให้พิจารณาคดีนี้ บอกว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดอาจก่อวิกฤตทางรัฐธรรมนูญ