ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงในทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีเพื่อส่งสัญญาณความปรองดองในประเทศ หลังผ่านการเลือกตั้งที่ดุเดือด โดยบอกว่า เขาได้โทรศัพท์แสดงความยินดีกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อวันพุธ และให้ความมั่นใจว่าจะถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่นในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
เขาบอกด้วยว่า ได้โทรศัพท์หารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และแสดงความชื่นชมเธอสำหรับการแข่งขันหาเสียงที่สร้างแรงบันดาลใจ เธอได้ทุ่มเททั้งใจและความพยายาม และควรภูมิใจกับการหาเสียงที่ผ่านมา
ไบเดน กล่าวอีกว่า เมื่อประเทศเลือกผู้สมัครอีกคน ก็ยอมรับการตัดสินใจของประเทศ และ “คุณไม่สามารถรักประเทศตอนที่คุณชนะเท่านั้น” เขายังเรียกร้องให้ชาวอเมริกันอย่าเห็นคนที่เลือกผู้สมัครอีกฝ่ายเป็นศัตรู แต่ให้มองเป็นชาวอเมริกันเหมือนกัน และลดอุณหภูมิลง รวมทั้งหวังว่าจะเลิกตั้งคำถามเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรมของระบบเลือกตั้ง โดยยืนยันว่ามีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม และความโปร่งใส
ขณะเดียวกันเขาปลอบใจผู้สนับสนุนไม่ให้หมดหวัง หลังทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกสมัย และคาดว่าจะยกเลิกนโยบายหลายอย่างของเขาทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง โดยบอกว่า ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การล้มเลิกเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้
สุดท้ายเขายืนยันว่าจะปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดี เคารพรัฐธรรมนูญ และถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่นในวันที่ 20 มกราคม
ถ้อยแถลงของไบเดนแตกต่างจากในสมัยที่ทรัมป์พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2563 เขาไม่ยอมรับผลคะแนน และไม่เข้าร่วมพิธีสาบานตนของไบเดน หลังจากพรรคเดโมแครตกล่าวหาว่าทรัมป์พูดปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 เพื่อขัดขวางการรับรองผลเลือกตั้ง ที่ทรัมป์กล่าวหาว่ามีการโกง
ขณะที่ผู้นำวัย 81 ปี กำลังเผชิญเสียงกล่าวโทษจากบางคนในพรรคเดโมแครตว่า สาเหตุของความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสครั้งนี้เป็นเพราะไบเดนไม่ตัดสินใจถอนตัวจากการเลือกตั้งให้เร็วกว่านี้ ทั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแสดงความกังวลเรื่องวัยของเขามาตลอด แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น ความไม่พอใจในวงกว้างต่อเงินเฟ้อพุ่งสูง บทบาทของสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนอิสราเอลในสงครามที่ฉนวนกาซาที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 43,000 รายแล้ว และผู้อพยพทะลักข้ามพรมแดนที่ติดกับเม็กซโก
ส่วนผลการนับคะแนนเลือกตั้งที่ยังไม่เสร็จสิ้น พบว่า ทรัมป์ได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งมากถึง 301 เสียง จาก 538 เสียงแล้ว และแฮร์ริสได้ 226 เสียง และพรรครีพับลิกันสามารถคว้าเก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 212 เสียง ใกล้ถึง 218 เสียงที่จะทำให้ครองเสียงข้างมาก ขณะที่พรรคเดโมแครตได้ 200 ที่นั่ง นอกจากนี้พรรครีพับลิกันยังสามารถครองเสียงในวุฒิสภาได้ 52 เสียงแล้ว และพรรคเดโมแครตได้ 44 เสียง