3 พฤศจิกายน 2565 เมื่อวันพุธ (2 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด มีมติเอกฉันท์ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ซึ่งเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยที่แรงต่อเนื่อง ทำให้ดอกเบี้ยนโนบายอยู่ที่ระดับ 3.75 - 4.00% เป็นระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 14 ปี นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2551 ซึ่งการปรับดอกเบี้ยดังงกล่าวเป็นไปตามนโยบายที่ ธนาคารสหรัฐ หรือ "เฟด" ต้องการสกัดเงินเฟ้อที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ทั้งนี้ "เฟด" ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกัน 4 ครั้ง หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราเดียวกันในเดือน มิ.ย., ก.ค. และ ก.ย. ปี 2565 และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ของเฟดในช่วง 9 เดือนหลัง
นอกจากนี้ แถลงการณ์ของ FOMC ยังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยระบุว่า "เฟด" จะพิจารณาการคุมเข้มนโยบายทางการเงิน จากปัจจัยผลกระทบจากนโยบายทางการเงินที่มีผลเศรษฐกิจ และ เงินเฟ้อ รวมถึงความคืบหน้าทางเศรษฐกิจและทางการเงินด้วย
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ "เฟด" แถลงว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อฉุดอัตราเงินเฟ้อลงมานั้น "ยังต้องใช้เวลา" และการต่อสู้ กับ เงินเฟ้อ จะส่งผลให้การเติบโตของสหรัฐชะลอตัว โดย "เฟด" จะหารือการผ่อนความเร็วการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด
ขึ้นดอกเบี้ยตามคาดการณ์ของตลาด
การประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของ "เฟด" นักลงทุน ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดย FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86.7% ที่ "เฟด" จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. และให้น้ำหนัก 47.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้
ขณะเดียวกัน บรรดานักลงทุน คาดว่า "เฟด" จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมเดือน ธ.ค. และจากนั้นจะเริ่มลดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. ปีหน้า (2566)
นายไมเคิล กาเพน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า คาดว่า เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งนี้ และจากนั้นจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.
ประเมิน "เงินเฟ้อ" สหรัฐผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ดัชนี PCE บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และจะลดแรงกดดันในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
สำนักงานสถิติกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 6.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 6.2% เช่นกันในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.3%
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนส.ค.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 5.1% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.2% แต่สูงกว่าระดับ 4.9% ในเดือนส.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ขอบคุณข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ