โดยเมื่อวันศุกร์ (12 ส.ค.) หน่วยงานแขวงไซยะบุรีของลาวได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังจากแม่น้ำฮุงเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมหมู่บ้านริมแม่น้ำ และทำให้บ้านเรือนบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำ โดยมีหมู่บ้านกว่า 10 แห่งใน 5 เขตท้องถิ่นได้รับผลกระทบ ด้านเพ็ดตีไซ สวนวิไล รองผู้ว่าการแขวงไซยะบุรี กล่าวกับสื่อมวลชนว่าทางการได้เรียกตัวทหารราว 600 นาย เพื่อลงพื้นที่ช่วยงานบรรเทาภัยพิบัติแล้ว
ขณะเดียวกันรูปภาพและคลิปวิดีโอที่ชาวบ้านในแขวงหัวพันโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ ได้เผยเหตุการณ์ขณะที่ประชาชนดิ้นรนขนย้ายสิ่งของและยานพาหนะของตัวเอง ส่วนในแขวงเวียงจันทน์ แม่น้ำซองในเขตวังเวียงได้เอ่อล้นตลิ่งและท่วมชุมชนและรีสอร์ตตามจุดท่องเที่ยว ขณะสะพานบางแห่งได้รับความเสียหาย
สำหรับบรรดาแขวงที่มีพรมแดนติดกับหัวพันและหลวงพระบาง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำลังเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ ซึ่งรวมถึงการเตรียมสถานที่ปลอดภัยให้ผู้ที่ต้องโยกย้ายจากบ้านเรือน
ทั้งนี้ รายงานจากสื่อลาวเผยว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวต้องการที่พักพิง อาหาร น้ำดื่ม ตลอดจนเรือสำหรับการสัญจร
ด้านประเทศกัมพูชา กระทรวงทรัพยากรน้ำและอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์การเกิดฝนตกในระดับเบาถึงหนักทั่วประเทศในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันใน 8 จังหวัด
กระทรวงฯ เผยว่ากัมพูชาจะได้รับผลกระทบจากหย่อมความกดอากาศต่ำจากอินเดีย รวมถึงมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ตั้งแต่วันที่ 15-19 ส.ค. โดยบางจังหวัดที่เผชิญฝนตกระดับปานกลางถึงหนักมาแล้วก่อนหน้านี้ จะเสี่ยงเกิดน้ำท่วมอันเนื่องมาจากฝนตก
กระทรวงฯ เสริมว่าจังหวัดที่จะเผชิญกับน้ำท่วมฉับพลัน ได้แก่ กำปงธม พระวิหาร รัตนคีรี สตึงแตรง กระแจะ ตะโบงคมุม กำปงจาม และอุดรมีชัย พร้อมแนะนำประชาชนระมัดระวังตนเองเป็นพิเศษในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายและความเสียหายต่อทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ รายงานจากคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่ากัมพูชามักเผชิญเหตุน้ำท่วมในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม โดยเหตุน้ำท่วมเมื่อปีก่อนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และประชาชนต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยถึง 172,297 ราย