"จอย ชวนชื่น" เล่าถึงอาชีพแม่ค้าให้ฟัง
"คือเป็นทุกอย่าง จะเป็นแม่ค้าจะขายรีวิวสินค้า หรือจะเป็นลิเก เป็นตลก เป็นได้หมด อยากขายของ ถ้าหากจะทำแบรนด์สินค้าอะไรสักอย่างมันต้องลงทุนเป็นแสน ก็ไม่อยากลงทุนขนาดนั้น ลงทุนหลักหมื่นยังพอว่า ก็เลยอยากจะขาย แล้วขายมาหลายปีแล้ว ขายขนมควันทะลัก"
"มันเป็นขนมเกาหลีทานแล้วควันออกปากออกจมูก มันเป็นข้าวโพดอบกรอบนี่แหละ สมัยก่อนจะสั่งซื้อมาจากโรงงาน ขนมจะไม่ได้เป็นแบบนี้นะ มันจะเป็นสีออกช็อกโกแลต สีเหลืองก็เป็นเหมือนข้าวโพดอะไรพวกนี้สองอย่างรวมกัน แต่ทีนี้โรงงานปิด ไม่มีแล้วเลยใช้ขนมแบบนี้ก็อร่อยเหมือนกัน แต่บางคนบอกว่าเป็นขนมอาหารปลาหรือเปล่า อาหารปลาจะจืดๆ เคยชิมแล้ว แต่อันนี้มันคือข้าวโพดอบกรอบ มันจะหวานๆ มันๆ รสกลมกล่อมอยู่แล้ว เด็กๆ เขาจะลงไอจีแบบทานขนมมีควัน หรืออยากสูบบุหรี่แต่ไม่ได้สูบนะ แต่มีควันออกมา"
"ขายมาจะเป็น 10 ปีแล้ว ขายมาเรื่อยๆ ตอนนั้นก็ขายกับน้องสาวแล้วแยกกันมาขายคนเดียว พอโควิดมา 3 ปีไม่ได้ออกไปไหนเลย คุณแม่กลัวมาก เพราะโควิดแม่ 80 กว่า แม่แฟนก็ 80 กว่า ถ้าเขาติดขึ้นมามันลำบากมาก ช่วงโควิดพอดีว่างานวัดงานนี้มันอยู่ใกล้บ้าน แล้วเราชอบขาย มันสะดวกไม่ต้องเหนื่อยเก็บของ จะมีของอยู่ที่นั้น จังหวะดีที่ว่าที่เราไปขายอยู่เจ้าของที่เขาจะเก็บไว้ให้เรา เพราะขายมา 5-6 ปีแล้ว ซึ่งงานนี้ขายดี แต่ไม่ได้ตามเป้าที่เราเคยขาย ชอบขายเอง ไม่ใช่แค่ขายของ อยากจะถ่ายรูปก็ถ่าย ไม่ซื้อก็ถ่ายได้ แต่ยิ้มอาจจะไม่กว้างมาก"
"จอย ชวนชื่น" มั่นใจว่าสินค้าของตนเองมีความปลอดภัย
"มันหลายปีมากแล้วที่บอกว่าอันตราย ไนโตรเจนเหลวนี่นะ มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อเราไปซดน้ำมัน เพราะน้ำมันติดลบ 200 กว่า แต่ความบริสุทธิ์ของมัน 99.98% มันก็คือน้ำแข็งที่เย็นมากๆ เย็นจัด จะอธิบายให้ฟังว่า ขนมเราพอเราใส่ไนโตรเจนเข้าไป ไนโตรเจนพอมันเจออาการที่มันร้อนๆ มันก็จะระเหยเหลือแต่ควัน มันไม่มีน้ำ มันไปเกาะขนม ก็เขย่าให้น้ำมันไปคลุกอยู่กับขนมให้มากที่สุด ให้มันแห้งเลย แล้วถึงจะโรยท็อปปิ้งต่างๆ ลงไป แล้วจะบอกเด็กๆ ทุกคนเลยว่า เวลากินให้เข้าปากแล้วเคี้ยวเลย ไม่ต้องอม เพราะฉะนั้นเวลากินต้องเข้าปากแล้วเคี้ยว พอเคี้ยวปุ๊บควันมันจะออกปากออกจมูก แล้วมันก็จะอร่อย ก็จะบอกว่า เด็กควรจะกินในอายุเท่าไหน ถ้ายังเคี้ยวไม่เป็น อย่าเพิ่งกิน ไม่ได้สักแต่จะขายนะ ก็บอกพ่อค้าแม่ค้าทุกคนด้วยนะคะ สักแต่จะขายไม่ได้"
"เราต้องมั่นใจว่าของเรามันไม่อันตรายจริงๆ แล้วต้องบอกลูกค้าว่าการกินต้องกินแบบไหน แล้วคนที่เล็กกว่าก็อย่าไปกิน แต่ถ้าเด็กโตเขารู้ว่าต้องเคี้ยวแบบไหนกินแบบไหน เราทำเขย่าจนน้ำหมดแล้ว ไม่ต้องไปซดน้ำสิ ซดน้ำทำไม ถ้าซดน้ำมันอันตรายอยู่แล้ว ขนาดโดนมือเรายังพองเลย เพราะมันติดลบ 200 องศา แต่ว่าพอมันไปเกาะอยู่บนขนมเรากินได้ไม่มีปัญหาอะไร เชฟเขาก็ทำกับอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันจะอันตรายตรงไหน แต่ต้องทำให้มันถูกวิธี แล้วบอกกับลูกค้าทุกคน คนไหนกินได้ คนไหนกินไม่ได้ ก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ แต่เป็นจรรยาบรรณของแม่ค้าว่า ต้องบอกลูกค้าว่ากินแบบไหนยังไง"
เจ้าตัวทิ้งท้ายลูกสาวก็มาช่วยขายของ ไม่หวงถ้ามีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบ
"ลูกสาวก็มาช่วยขาย ตอนที่ไปขายวัดแรกเขาไม่ได้มา แต่พอวัดนี้เขาบอกว่าเขาอยากช่วย ก็มีหนุ่มๆ มาจีบ มีเด็กหนุ่มๆ มากินหน้าร้านไม่ไปไหน ปกติไม่ค่อยมีหนุ่มๆ มาซื้อที่ร้าน ไม่หวงหรอก ห่วงมากกว่า พอเขาเริ่มโต มันก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องคอยดูให้ใกล้ชิดที่สุด คอยเป็นเพื่อนเขาให้เขาปรึกษาได้ ไว้ใจเราบอกเราได้ทุกเรื่อง แล้วเราก็จะไปดูว่าอันนี้ได้อันนี้ไม่ได้แล้วจะคอยสอนลูก"
"เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เพราะลูกไม่มีเพื่อน เราเลยต้องเป็นเพื่อนลูก เมื่อก่อนพอเรากลับจากทำงาน ลูกก็ชอบมาเล่นกับเรา แม่ก็จะบอกว่าไม่ไหวแล้วลูก พ่อก็จะบอกเธอเล่นกับลูกหน่อย ลูกอยากเล่นด้วย เพราะไม่ได้ให้แฟนทำงานเลย เมื่อก่อนแฟนจะดูแลคิว ขับรถให้ ดูแลเราด้วยไปด้วยกัน พอมีลูกเราไม่สามารถที่จะไปจ้างใครได้ เราไม่รู้ว่าเขาจะเลี้ยงลูกเรายังไง ไม่ไว้ใจ ถึงจะติดกล้องอะไรก็แล้วแต่ มันหลบมุมกล้อง ถ้าลูกเราเกเรแล้วเขาทนไม่ไหว เขาตีลูกเรา หรือทำร้ายลูกเรา เราทำใจไม่ได้ เลยบอกกับแฟนว่า ฉันทิ้งเธอให้อยู่กับลูกไปเลย เธอไม่ต้องทำอะไร แค่เธอดูแลคิวรับงาน เดี๋ยวเราไปทำงานเอง"
ที่มา : รายการคุยแซ่บShow