18 เมษายน 2568 เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.สามารถ พรหมชาติ ผบก.น.6 พ.ต.อ.นริศ ปรารถนาพร รอง ผบก.น.6 พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ยานนาวา นำกำลัง เข้าช่วยเหลือชายชาวอินเดีย จำนวน 3 ราย 1.นายอมันดีฟ อายุ 26 ปี 2.นายราเมช อายุ 47 ปี และ 3.นายวิปุลคูมาร์ สภาพถูกมัดมือมัดเท้า หลังถูกเพื่อนร่วมชาติอุ้มไปกักขังเรียกค่าไถ่ 2.5 ล้านรูปี คิดเป็นเงินไทย ประมาณกว่า 9 แสนบาท
และเข้าจับกุมผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด 6 ราย คือ 1.นายซันดู อายุ 31 ปี สัญชาติอินเดีย พร้อมพวกอีก 5 คน (อินเดีย 5 ปากีสถาน 1 ) ได้ที่เซฟเฮ้าท์หลังหนึ่งในซอยสันติคราม 8 สุขุมวิท 109 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จ.สมุทรปราการ ต่อเนื่องห้องพัก คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในอ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ชาวอินเดีย ผู้เสียหาย
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 เวลา 19.00 น. ร.ต.ท.อัครวิชญ์ นวลตา รอง สว.(สอบสวน) สน.ยานนาวา รับแจ้งจาก นายซันจีฟ อายุ 27 ปี สัญชาติอินเดีย ว่าเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ตนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยกับเพื่อน 2 คน คือ นายราเมศ อายุ 47 ปี และนายอมันดีป อายุ 26 ปี ทั้งหมดสัญชาติอินเดีย เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในสาทร ซอย สาทร 10 แขวงสีลม เขตบางรัก กทม.
ต่อมาวันที่ 11 เมษายน 2568 ได้เปลี่ยนที่พักมาอยู่ที่โรงแรมอีกแห่ง บนถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. โดยเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 เวลา 18.00 – 19.00 น. นายราเมศ และนายอมันดีป ได้ออกจากโรงแรม โดยมีชายชาวอินเดีย 1 คน เรียกรถแท็กซี่ให้ไปรับ นายราเมศ และนายอมันดีป ที่โรงแรม แต่ไม่ได้พาไปขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปเวียดนาม แต่กลับพาไปที่เซฟเฮ้าส์ซึ่งเป็นบ้านหลังหนึ่ง ในซอยสันติคราม 8
กระทั่งในวันที่ 16 เมษายน 2568 นางฮาร์มัน น้องสาวของนายราเมศ ได้ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันวอทแอป แจ้งต่อนายซันจีป ว่าได้รับการติดต่อจากบุคคลชื่อ ซันดู อ้างว่าควบคุมตัวนายราเมศ และนายอมันดีป ไว้ และเรียกร้องเงินค่าไถ่จำนวน 2.5 ล้านรูปี พร้อมทั้งข่มขู่จะทำอันตรายหากไม่ดำเนินการตาม
โดยนายซันจีป ให้การว่า ถึงหมายเลขโทรศัพท์ของนายซันดู ผู้ก่อเหตุ รวม 2 เลขหมาย และเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา
ต่อมา พล.ต.ต.โชติวัฒน์ ผบก.สส.บช.น. นำกำลังฝ่ายสืบสวนนครบาล 6 , สืบสวนนครบาล และ ตม.จว.ชลบุรี ร่วมกันติดตามเบาะแสมา จนสามารถ จับกุมนายซันดู สัญชาติอินเดีย ตัวการ โทรไปขู่เรียกเงินญาติ ผู้เสียหาย ได้ที่ ห้องพักในคอนโดมิเนียม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ตรวจสอบพบหลักฐานจากโทรศัพท์ ติดต่อใช้วอทแอป โทรฯ ติดต่อไปหาญาติ และผู้เสียหายจริง และสอบสวนจนทราบว่านำผู้เสียหาย ไปกักขังย่านสมุทรปราการ จึงสามารถช่วยเหลือผู้เสียหาย ออกมาได้ 3 ราย ขณะถูกมัดมือ เท้า แบ่งเป็นผู้เสียหาย สน.ยานนาวา 2 ราย และอีก 1 ราย ถูกหลอกมาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้เสียหายเล่าว่า ผู้ก่อเหตุได้มีการขู่ตัดอวัยวะ และทุบตีด้วยไม้พันเทปตามร่างกาย เพื่อติดต่อญาติให้โอนเงินค่าไถ่ให้
ด้าน นายวิรัตน์ หลักชัย อายุ 53 ปี คนขับแท็กซี่ ที่เคยรับผู้ก่อเหตุและผู้เสียหาย ไปส่งที่บ้านเซฟเฮ้าส์ที่กักขังผู้เสียหาย เล่าว่า ในวันเกิดเหตุ มีชายชาวอินเดีย 1 คน โบกรถให้ตนเองจอดรับ โดยบอกว่าให้รอสักครู่ เพราะจะมีเพื่อนลงมาแล้วเดินทางไปด้วยกัน จากนั้นก็มีชายชาวอินเดียอีก 2 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางเดินลงมาจากโรงแรม จากนั้นทั้ง 3 คน ก็ขึ้นรถของตนเอง โดยบอกให้ไปส่งภายในซอยสุขุมวิท 109 ระหว่างทางชายชาวอินเดียทั้ง 3 ก็ได้มีการพูดคุยกันตลอดทาง ซึ่งตนเองก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย แต่ไม่ได้มีการขู่บังคับ หรือใช้น้ำเสียงพูดจาที่รุนแรงต่อกันแต่อย่างใด เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทาง ชายชาวอินเดีย ทั้ง 3 คนก็เดินเข้าบ้านไป โดยไม่มีการบังคับ หรือมีพิรุธแต่อย่างใด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทั้งหมด ในข้อหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันพยายามเรียกค่าไถ่ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.วสันต์ รอง ผบช.น. กล่าวภายหลังการสอบปากคำผู้ก่อเหตุและผู้เสียหาย ว่า พฤติการณ์ของชายชาวอินเดียเป็นการหลอกและเรียกค่าไถ่คนอินเดียด้วยกัน แกล้งออกอุบายทำเป็นนายหน้าเพื่อจัดหางานให้คนอินเดีย ไปทำงานที่ประเทศออสเตรีย แต่จะต้องมีการมาพักทำเรื่องเอกสารในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนจะต่อเครื่องไปต่อ ทางกลุ่มผู้ก่อเหตุเลยใช้ช่วงจังหวะที่ชาวอินเดียมาถึงกรุงเทพฯ ออกอุบายหลอกและจับขังไว้ภายในบ้านเช่า
ก่อนที่จะมีการประสานติดต่อกับทางญาติของผู้เสียหายเพื่อให้มีการโอนเงินจากประเทศอินเดียคนละประมาณ 1 ล้านบาท แลกกับอิสระ พร้อมทั้งมีการข่มขู่เหยื่อว่าหากไม่ทำตามหรือไม่ติดต่อญาติ จะมีการทำร้ายและเฉือนอวัยวะในร่างกายทิ้ง
ชาวอินเดีย ผู้เสียหาย
พล.ต.ต.วสันต์ กล่าวอีกว่า พฤติการณ์ของชาวอินเดียกลุ่มนี้ เข้าเมืองมาถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในส่วนของประวัติอาชญากรรมรวมไปถึงข้อมูลรายละเอียดว่า เคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ส่วนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประสานกับเจ้าหน้าที่ ตม. เพื่อตรวจสอบประวัติย้อนหลัง รวมไปถึงมีการประสานสถานทูตอินเดีย เพื่อขอข้อมูลและรายละเอียดเชิงลึก ส่วนมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วตอนนี้เบื้องประมาณ 30,000 กว่าบาท เนื่องจากอยู่ในช่วงของการเจรจาและเรียกค่าไถ่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปช่วยไว้ทัน
เมื่อถามถึงพฤติการณ์ในการเรียกค่าไถ่ว่า ข้อมูลเบื้องต้นมีชาวไทยเข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีส่วนในการอำนวยความสะดวกให้เข้ามาในพื้นที่ด้วยหรือไม่ นั้น พล.ต.ต.วสันต์ กล่าวว่า ขอตรวจสอบเชิงลึก เนื่องจากตอนนี้ทางผู้ก่อเหตุเองไม่ค่อยให้ความร่วมมือ หากมีการขยายผลและตรวจสอบพบบุคคลอื่นเกี่ยวข้องด้วยก็ต้องมีการดำเนินการตามกฏหมาย ยืนยันว่ากลุ่มผู้ต้องหากับผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อน และด้วยความสนิทใจเนื่องจากเป็นการจัดหางานให้ไปทำ เลยไว้ใจ และทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน