18 เมษายน 2568 จากกรณี พีช สมิทธิพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ชาว จ.ปทุมธานี ลูกนักการเมืองคนดัง ขับรถ BMW ทะเบียนป้ายแดง ปาดหน้าและชนกับรถกระบะ อีซูซุ สีดำ เป็นเหตุให้ลุงป้า คนขับและคนนั่งมาในรถกระบะ ทราบชื่อ นายประจักษ์ อายุ 65 ปี คนขับ และนางสมศรี อายุ 64 ปี ภรรยานายประจักษ์ ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย โดยนายประจักษ์ คนขับ อาการสาหัส เหตุเกิด บนมอเตอร์เวย์ ถนนกาญจนาภิเษก (ทล.พ.9) กม.23+400 มุ่งหน้าบางปะอิน ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงสายวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ล่าสุด ที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 ช่วงเย็น พีช สมิทธิพัฒน์ ลูกนายกเบี้ยว เดินทางมาพร้อมนายกเบี้ยว หรือ นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว บิดา เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย พีช มารับทราบข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย
โดย นายพีช เดินเข้าไปในห้องพนักงานสอบสวนทันที ขึ้นทางบันไดด้านข้างอาคาร พยายามที่จะเลี่ยงให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ก่อนที่นายกเบี้ยว ที่เดินตามหลังมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน บอกว่า วันนี้พาลูกชายเดินทางเข้ามารับทราบข้อหาขับรถโดยประมาท ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก และในส่วนของรถ BMW ยังไม่ได้เอามาด้วยในวันนี้ แต่เตรียมที่จะนำเข้ามามอบให้กับตำรวจทางหลวงในวันพรุ่งนี้(19เม.ย.68) เนื่องจากรถอยู่อีกที่หนึ่ง และยังยืนยันว่าทะเบียนป้ายแดง เป็นป้ายจริงและเตรียมที่จะขอป้ายทะเบียนให้ตรงกับเลขวันเกิด
ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีการสับสน ว่าลูกชายจะยังไม่เข้ามาพบกับตำรวจในวันนี้นั้นอาจจะเป็นการสื่อสารกันผิดพลาดเพราะก่อนหน้าที่จะมาถึงนักข่าวยังโทรถาม ตัวเองก็ยังยืนยันว่ากำลังเดินทางเข้ามา ซึ่งตอนแรกตัวเองยังยืนยันที่จะไม่ได้เดินทางมาจริง แต่พอได้คุยกับพนักงานสอบสวนก็ได้รับแจ้งกลับมาว่าหากไม่เดินทางมาวันนี้ก็ต้องออกหมายเรียก จึงตัดสินใจหันหัวรถกลับมาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ ย้ำว่าไม่หลบหนีอยู่แล้ว
ส่วนในเรื่องของคลิปเสียงที่มีการเบ่งกับตำรวจด้วยคำพูดว่ายอมอ่อนให้แล้ว ยืนยันว่าไม่มี แต่หากว่ามีคลิปออกมาก็ต้องยอมรับไปตามสภาพ แต่ลูกชายยืนยันว่าไม่มีการพูดแบบนี้แน่นอน ย้ำว่าตัวเองยอมทุกกรณีอยู่แล้วไม่เคยพูดว่าลูกตัวเองไม่ผิด และขอโอกาสกับสังคม ที่ลูกชายตัวเองทำผิดพลาดไป และตัวเองไม่มีอิทธิพลใดๆ หากจะมีอิทธิพลก็มีอิทธิพลในการช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น
ในส่วนจะกระทบกับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ที่จะมาถึง หรือไม่นั้น นายกเบี้ยว กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะการลงสมัครรับเลือกตั้ง หากพี่น้องประชาชนไม่ไว้วางใจ ก็จะไม่ได้มีโอกาสมารับใช้ประชาชน ก็เพียงแค่อยู่บ้าน แต่หากยังได้รับการไว้วางใจก็ยังคงช่วยเหลือประชาชนเหมือนเดิม ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชนเราไม่มีสิทธิ์บังคับ
พร้อมย้ำว่า เรื่องนี้ตัวเองย้ำและสั่งสอนตักเตือนพีชมาตลอด ซึ่งในฐานะลูกชายคนเล็กก็จะต้องค่อยๆสอนค่อยๆตะล่อม หากรุนแรงและแข็งเกินไปลูกชายก็จะเตลิดได้ ตอนนี้ตัวเองเข้าใจในเรื่องของกฎหมายบ้างแล้ว ครั้งนี้ลูกชายตัวเองเป็นคนผิดก็ต้องขอโทษสังคม ยอมรับว่าโกรธลูกชายและครอบครัวไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ทำไมลูกชายคนเล็กถึงมีลักษณะแบบนี้ ซึ่งช่วงระยะหลังอาจจะเจอลูกชายน้อยเกินไป
ส่วนลูกชายที่เป็นสส.สังกัดพรรคการเมืองใหญ่ ก็มีอารมณ์โมโหน้องชาย แล้วก็ได้พูดคุยกับน้องชายแล้ว แต่ยังมีความเป็นห่วงน้องชาย แต่ยังไม่เจอกัน และในส่วนของภรรยาพอรู้ว่าลูกชายคนเล็กไปก่อเหตุแบบนี้ขึ้นก็ร้องไห้เป็นทุกข์
นายกเบี้ยว ยอมรับลูกชายอาจจะมีอารมณ์ที่ร้อนด้วยอายุ หากย้อนกลับไป 40 ปี ตัวเองก็อาจจะมีอารมณ์ในลักษณะแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่จริงแล้วก็ทำไม่ได้ ซึ่งในส่วนที่ลูกชายไม่โทรแจ้งตำรวจในเวลานั้นก็อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ และลูกชายยังไม่เคยมีประสบการณ์เกิดอุบัติเหตุแบบนี้
ทั้งนี้นายกเบี้ยว ปฏิเสธว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทยเลย และขออย่าเอาผู้ใหญ่หรือแกนนำในพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องและตัวเองก็ไม่เคยโทรศัพท์หากับผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองด้วย และไม่อยากนำเรื่องปวดหัวไปให้ผู้ใหญ่ในพรรค พร้อมยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ต้องโดนโจมตี
ขณะที่มีอยู่ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ที่สถานีตำรวจทางหลวงนายกเบี้ยว มีอารมณ์และพยายามพูดขอกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งว่า อย่าถามคำถามในลักษณะชี้นำหรือจี้ให้เกิดอารมณ์กันเลย เพราะตัวเองและครอบครัวก็ยอมทุกอย่างแล้ว ไม่เคยคิดจะตั้งป้อมสู้และไม่เคยรังเกียจสื่อมวลชนเลย
โดยภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวน นายพีช ได้ออกมาจากห้อง พร้อมยกมือไหว้และพูดว่าผมขอโทษทุกอย่างไปหมดแล้ว และยืนยันว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปพบคู่กรณี พร้อมย้ำว่าเป็นอุบัติเหตุ ขอโทษอีกครั้ง
ซึ่งจังหวะที่นายพีชจะก้าวขึ้นรถ เป็นจังหวะเบียดกันของช่างภาพและผู้สื่อข่าว ประกอบกับเป็นพื้นต่างระดับ ทำให้นายพีชเสียหลักและศีรษะชนเข้ากับกล้องของช่างถาพ ทำให้นายพีช หันมาชักสีหน้า และตะคอกกลับมาที่สื่อมวลชน "ใครโดนหัวผม หัวผมเพิ่งเย็บมา" แล้วก้าวขึ้นรถไป ก่อนที่คนติดตามจะหันมาย้ำกับสื่อมวลชนว่า น้องผมเย็บศีรษะมา
สำหรับทางคดีเบื้องต้นพนักงานสอบสวน กก.8 บก.ทล.2 แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา คือ ขับรถโดยประมาทเป็นอันตรายกับบุคคลอื่น , ใบขับขี่สิ้นอายุ , นำรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียนมาใช้ โดยนายพีชให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ปรับข้อหาละ 2,000 บาท รวมแล้ว 6,000 บาท