17 เมษายน 2568 จากกรณีที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ใช้บัญชี TIKTOK โพสต์ข้อความเกี่ยวกับอุบัติเหตุ “ขับรถปาดหน้ากันบนมอเตอร์เวย์“ เป็นรถ BMW สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ที่มี พีช สมิทธิพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ชาว จ.ปทุมธานี ลูกนักการเมืองคนดัง เป็นคนขับ ได้ขับปาดหน้าและชนกับรถกระบะ อีซูซุ สีดำ เป็นเหตุให้ลุงป้า คนขับและคนนั่งมาในรถกระบะ ทราบชื่อ นายประจักษ์ อายุ 65 ปี คนขับ และนางสมศรี อายุ 64 ปี ภรรยานายประจักษ์ ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย โดยนายประจักษ์ คนขับอาการสาหัส เหตุเกิด บนถนนกาญจนาภิเษก (ทล.พ.9) กม.23+400 มุ่งหน้าบางปะอิน ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงสายวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยแพร่ข่าว ระบุว่า ผบ.ตร. สั่งเด็ดขาดคดีรถ BMW ชนลุงป้าบาดเจ็บบนทางหลวง ให้ดำเนินคดีทุกข้อหาอย่างตรงไปตรงมา ถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดวินัยจราจร ขาดสำนึกความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น ให้ ผบก.ก.จว.ปทุมธานี ประสานกับตำรวจทางหลวงเร่งดำเนินการเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ยืนยันคดีนี้ไม่มีการช่วยเหลือกัน
โดย พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง เหตุการณ์ที่ปรากฏภาพคลิปลงในโซเชียล รถ BMW ปาดเบียดรถกระบะคันหนึ่ง เป็นเหตุให้เสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุรถชน ทำให้ลุงกับป้าที่เป็นผู้ขับและผู้โดยสารภายในรถได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ตำรวจทางหลวงได้รายงานเหตุเบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 เวลา 08.32 น. บริเวณบนถนนกาญจนาภิเษก ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ช่วง กม.23+400 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงพื้นที่รับผิดชอบได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที แต่ขณะนั้นพบว่าเป็นอุบัติเหตุรถชนกันจำนวน 2 คัน เป็นรถกระบะอีซูซุ สีดำ ทะเบียนลำปาง โดยมี นายประจักษ์ อายุ 65 ปี เป็นผู้ขับขี่ และนางสาว สมศรี อายุ 64 ปี เป็นผู้โดยสาร ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ และรถ BMW สีขาว ทะเบียน ป้ายแดง โดยมี นายสมิทธิพัฒน์ อายุ 28 ปี เป็นผู้ขับขี่
ตำรวจได้นำส่งผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางปะกอกรังสิต 2 แล้วได้นำรถทั้งสองคันไปเก็บรักษาไว้ยังหน่วยสอบสวนตำรวจทางหลวงลำลูกกา เพื่อตรวจสภาพรถ พร้อมตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ นายสมิทธิพัฒน์ ผู้ขับขี่รถ BMW ไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ซึ่งนายสมิทธิพัฒน์ ได้แจ้งว่าขับรถปาดหน้ากัน จึงสอบสวนปากคำไว้
ต่อมาวันนี้ตำรวจทางหลวงได้รับคลิปพยานหลักฐานเพิ่มเติมจากกล้องหน้ารถของประชาชน ทำให้ทราบว่าอาจจะไม่ได้เป็นการเฉี่ยวชนแบบธรรมดา อาจจะเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งตำรวจวจทางหลวงจะไม่ได้รับผิดชอบ จะรับเพียงคดีจราจรบนทางหลวงเท่านั้น ส่วนคดีอาญาทาง สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้รับทราบรายงานแล้ว และได้ดูคลิปภาพในสื่อโชเซียลแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน ถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดวินัยจราจร ขาดความสำนึก ขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น
เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่มีบุคคลทำพฤติกรรมการขับรถยนต์เช่นนี้บนถนน หากรถคันที่เสียหายมีเด็กเล็กอยู่ในรถจะเป็นอย่างไร แบบนี้อยู่ในสังคมยาก โดยการใช้รถใช้ถนนนั้น ผบ.ตร เคยพูดก่อนสงกรานต์แล้วว่า ขอให้ทุกคนมีสติ และเอื้ออาทรในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน จะไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นจนบานปลาย เป็นเรื่องใหญ่โต
เรื่องนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้สังคมรับไม่ได้ ดังนั้น ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง ผู้กระทำผิด นอกจากกระทำผิดแล้ว ยังไม่สำนึกผิด ยังแอบอ้างโอ้อวดไปทั่ว เช่นนี้ถือว่าเป็นผู้ไม่มีวุฒิภาวะ หรือจิตสำนึกที่ดี
นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า แม้หากเป็นลูกชายแท้ๆ ถ้าทำผิดอะไร ก็ต้องรับผิด จะไม่มีช่วยเหลือ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่ทำให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย มิใช่ทำตัวใหญ่กร่างอวดอ้างไปเรื่อยๆ เช่นนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุเกิดบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เบื้องต้นคดีนี้เป็นคดีจราจร ที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ต้องรับผิดขอบ ทำการสอบสวนก่อน และหากเป็นอาญาตำรวจพื้นที่ คือ สภ.ลำลูกกา จ.ปทมธานี จะรับผิดชอบ ซึ่ง ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำไปทางตำรวจทางหลวงและตำรวจพื้นที่ใน จ.ปทุมธานี แล้วว่าการดำเนินคดีต้องเป็นไปตามพยานหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา จะไม่มีการช่วยเหลือใครเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างของสังคม