16 มีนาคม 2568 เป็นเวลากว่า 1 เดือน ที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ได้จัดตั้งคณะกรรมการปราบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อทำหน้าที่ในการกวาดล้าง ควบคุม ดูแล และผลักดันชาวต่างชาติกลับประเทศ
วันนี้ "เนชั่นทีวี" พาไปเปิดใจ "พันโทหน่าย หม่อง โซ" โฆษกบี จีเอฟ ฉายามือปราบคอลเซ็นเตอร์แห่งเมียวดี กับการปฎิบัติภารกิจ ที่เจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่า หนักยิ่งกว่าการสู้รบ และโควิดหลายเท่าตัว
พันโทหน่าย หม่อง โซ โฆษกบีจีเอฟ ได้เปิดบ้านพักส่วนตัว ตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดเมียวดี ให้ ”เนชั่นทีวี” ได้เข้าไปสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับ
“การถอดบทเรียนการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่เกิดขึ้นในจังหวัดเมียวดี โดยเขาเปิดประเด็นแรกว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี เป็นเหมือนการแทรกซึมมาในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ก่อนจะกระจายตัวในอยู่ในพื้นที่เขตอิทธิพลของกะเหรี่ยงแต่ละกลุ่ม
เมื่อเกิดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขึ้นมา ในพื้นที่ความดูแลของกองกำลังพิทักษ์ชายแดน เราไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้ความร่วมมือกับทางการไทย ทางการจีน และทางการเมียนมา ในการเข้าไปกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง จนสามารถควบคุมคนได้กว่า 7,000 คน แต่พื้นที่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มอื่นๆ ตามแนวชายแดน ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการทำงานของกันและกันได้ อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงนี้ด้วย
“ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นปัญหาใหม่ที่ ทุกคนไม่คาดคิดว่าว่าเจอ เพราะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเกินกว่าทุกคนจะเข้าใจ และไม่ได้เกิดขึ้นที่จังหวัดเมียวดีเพียงแห่งเดียว ในสปป.ลาว ในกัมพูชา และประเทศอื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แต่กลับมาชี้ที่จังหวัดเมียวดีจุดเดียว ซึ่งถามว่า พอปัญหาเกิดขึ้นเราไม่ได้นิ่งเฉย เราทำงานเชิงรุกในทันที” โฆษก บีจีเอฟ กล่าว
สำหรับโฆษกบีจีเอฟ ในอายุ 52 ปี เติบโตจากรัฐมอญ ในเมียนมา เป็นทหารมากว่า 30 ปี ก็ไม่เคยเจอกับปัญหานี้มาก่อน โดยเขามองว่าปัญหานี้หนักกว่าการสู้รับ ปัญหาน้ำท่วม และการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 หลายเท่า เขาผ่านสถานการณ์เหล่านี้มาก่อน แต่ปัญหาคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติ จะเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไปทั่วโลก ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการทำงานจากการต่อสู้ในสนามรบมาเป็นการต่อสู้ในสนามคอลเซ็นเตอร์ และแก้ไขปัญหาวันต่อวัน และรอบคอบให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบไปมากกว่านี้
แม้แต่การตั้งคณะกรรมการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็เป็นครั้งแรกที่มีคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนในการกวาดล้างเป็นไปอย่างมีระบบ โดยวิธีการรับมือชาวต่างชาติที่มีมากกว่า 7,000 คน ได้แบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่มคือ ทหารกลุ่มแรกจะทำหน้าที่วางแผนในการจัดส่งคนกลับประเทศ และทหารอีก 3 กลุ่ม จะทำหน้าที่ในการกวาดล้าง และควบคุม ส่วนทางกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลเมียนมา จะเข้ามาทำหน้าที่ประสานกับทางการไทย คัดกรอง แยกสัญชาติ ทำประวัติ และทำแบลคลิสต์ ก่อนผลักดันออกประเทศ
อีกหนึ่งบทเรียนที่สำคัญคือ จังหวัดเมียวดีเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับอำเภอแม่สอด ทางรัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการ 3 ตัด ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ทำให้ฝั่งเมียนมาที่พึ่งพาพลังงานจากฝั่งไทยมาโดยตลอด ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก็งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด ความมืดกระทบกับวิธีชีวิตของคนในท้องถิ่น ทุกคนต้องปรับตัวมาใช้พลังงานโซลาร์เซลส์ และใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ดังนั้นต่อไป จังหวัดเมียวดีจะต้องมีพลังงานไฟฟ้าเป็นของตัวเอง
พันโท หน่าย หม่อง โซ วิเคราะห์อีกว่า ท่ามกลางการปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลายๆ ประเทศมองว่า จังหวัดเมียวดีเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย บทเรียนที่เกิดขึ้นทำให้ต่อไปนี้จะต้องมีการวางกฎระเบียบในการแก้ไขปัญหาอาชญากรทางเทคโนโลยีให้เข้มข้นมากขึ้น และมีการจัดระเบียบชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจ จะต้องมีการคัดกรอง และตรวจสอบการทำธุรกิจ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ทางบีจีเอฟ ก็ทำในสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว เหรียญมันมีสองด้าน ต้องมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอยู่เสมอ
ต่อข้อซักถามว่า อาคารที่ตั้งของแก็งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกกวาดล้างมีมากน้อยขนาดไหน ทางโฆษกบีจีเอฟบอกว่า ลองคำนวณคนกว่า 7,000 คนไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ตอนนี้อยู่ระหว่างการสำรวจ และเข้าไปตรวจสอบว่า อาคารไหนที่จะสามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ซึ่งเขายอมรับว่าปัญหาคอลเซ็นเตอร์มีผลต่อการพัฒนาเมือง และน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ที่จะทำให้เมืองเติบโตตามแผนงานและไร้ข้อกังขา พร้อมกันนี้ จะเดินหน้าบริหารจัดการพื้นที่กว่า 200 เอเคอร์ ในการสร้างเขตอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งโครงการเหล่านั้นจะต้องไม่ใช่ธุรกิจสีเทา
ครอบครัวทหารหลายคนแทบจะไม่ได้พักผ่อนจากการปฎิบัติภารกิจในครั้งนี้ ซึ่งก็ได้ส่งกำลังใจให้ทหารทุกคนที่เสียสละเพื่อประโยชน์ของประชาชน ขณะที่ส่วนตัวเขาเองแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะปัญหาในการดูแลคนต่างชาติท่ามกลางสถานการณ์ที่ถูกแสงไฟส่องมาจากคนทั่วโลก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นภารกิจที่สำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างรอบครอบ แต่ในกรณีที่เป็นชาวเมียนมา เราก็มีกฎหมายลงโทษ และเมื่อตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องถูกลงโทษจำคุก 6 เดือน
สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนวิเคราะห์ต่อไปคือ ชาวต่างชาติที่ถูกกองกำลังพิทักษ์ชายแดนควบคุมตัวไว้เกือบทั้งหมด เต็มใจมาทำงานเอง ไม่ได้มีการบังคับ หรือหลอกลวงมา ยกเว้นในเขตอิทธิพลของกลุ่มอื่นๆ เขาไม่มีข้อมูล และสิ่งที่เขาสัมผัสได้คือ สถานที่ควบคุมตัวจะปิดสัญญาณไวไฟอินเตอร์เน็ทไว้ จะเปิดใช้งานกรณีจำเป็น ทันทีที่เปิดจะพบยูสเซอร์ของชาวต่างชาติล็อคอินเข้ามาใช้งานทันที และแม้จะเปลี่ยนรหัสหลายครั้งก็ไม่ได้ผล เป็นสิ่งหนึ่งที่เขามองว่า “คนเหล่านี้ไม่ธรรมดา”
ก่อนปิดฉากการสนทนา ในห้องรับแขก พันโท หน่าย หม่องโซ บอกว่า จริงๆ แล้วทหารทุกคนจะอ่อนไหว ที่พึ่งทางจิตใจคือ ศาสนา เขาได้พาเนชั่นทีวีไปดูห้องพระ พบว่า มีที่นั่งสมาธิ เขายิ้มแบบอ่อนโยนไม่เหมือนตอนขึงขังที่สวมเครื่องแบบทหาร ถ้ามีเวลาเลือกที่นั่งสมาธิผ่อนคลายความเครียด และที่พึ่งทางใจอีกหนึ่งทางคือ ครอบครัว โดยเฉพาะภรรยาจะรู้ว่า วันไหนที่เขากลับมาที่บ้าน จะเตรียมอาหารไว้ต้อนรับ มันเหมือนได้รับพลังงานบวกจากครอบครัว
ส่วนที่มีฉายาเป็นมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งเมียวดีนั้น พันโทหน่าย หม่อง โซ ยิ้มที่มุมปาก แล้วตอบมาสั้นๆว่า ผมเชื่อว่าประชาชนเขารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ส่วนตัวเขาก็รู้สึกภูมิใจที่ได้มาปกป้องไม่ให้ประชาชนของเขา และคนทั่วโลกถูกหลอกหลวงจากแก็งคอลเซ็นเตอร์ แม้ว่าในความเป็นจริงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่มีวันล้มหายตายจากไปง่ายๆ ก็ตาม
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า คนเมียนมาจะนำอุปกรณ์ หลอดไฟฟ้าโซลาเซลส์ และพาวเวอร์แบงก์ ไปฝากชาร์จบ้านที่มี แผงโซลาร์เซลส์ โดยเสียค่าชาร์จครั้งละ 5 บาท
ข่าว : สกาวรัตน์ ศิริมา
ภาพ : จักรินทร์ นมนาน