17 มกราคม 2568 ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวนบก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ "เจ๊อ้อย" ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน โดยนำเอกสารสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" อายุ 44 ปี , นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม , น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม , นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม , น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถ 2 คน
ที่ร่วมมือกับ "ทนายตั้ม" ในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง , ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษ โดยมีรายงานว่า พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน ทุกข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ มีนายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พร้อมด้วย นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา
พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดี "ทนายตั้ม" แบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ
ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท
สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งข้อหาเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดในสำนวนไม่ขอเปิดเผย
ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของ "ทนายตั้ม" ที่ได้รับการประกันตัว อยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมาในวันนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนในประเด็นตามที่ "ทนายตั้ม" ได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางสำนักงานอัยการคดีพิเศษได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 รับผิดชอบพิจารณาสำนวน เเละจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จทันภายในระยะเวลากรอบฝากขังผัดสุดท้ายในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งตอนนี้เพิ่งได้รับมอบสำนวนมา จึงยังไม่ได้นัดวันฟังคำสั่ง ในส่วนคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณามีคำสั่งอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึง เรื่องความคืบหน้าคดีพินัยกรรม "มาดามอ้อย" กับ "ทนายตั้ม" พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดตามที่แจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งขณะนี้ ทางพนักงานสอบสวนยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อยู่ ส่วนจะต้องเรียก "มาดามอ้อย" มาสอบปากคำอีกหรือไม่นั้น ยังไม่พิจารณาในเรื่องนี้
สำหรับประเด็นเรื่องการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมนั้น ยังไม่มีหนังสือดังกล่าวจากผู้ต้องหา แต่จากการเข้าไปสอบปากคำ "ทนายตั้ม" ในเรือนจำ "ทนายตั้ม" ยังคงต้องการให้ทางพนักงานสอบสวนทำตามขั้นตอนตามกฎหมายปกติ โดย "ทนายตั้ม" ยังให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่มีการส่งสำนวนในวันนี้ มี 2 ส่วน ประกอบด้วย
คดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรที่ทาง "ทนายตั้ม" ได้หลอกลวง "เจ๊อ้อย" ให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์อ้างว่า จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2 ล้านยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 71,067,764.70 บาท
คดีต่อมา เจ๊อ้อยมอบหมายให้ทนายตั้มจัดหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่น จี400 "ทนายตั้ม" ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,93 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์มทำให้ "ทนายตั้ม" ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
นอกจากนี้ มีคดีที่ นายษิทรา, นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวง "เจ๊อ้อย" ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชี "เฉินคุน" จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่า นายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้วทำให้กระเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39 ล้านบาท
พร้อมส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชั่นไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป๋าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหาย จึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาขน)สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39 ล้านบาท ให้กับ น.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด 39 ล้านบาทดังกล่าว ออกจากบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี
เเละยังมีข้อหาที่คณะทำงานสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรที่มีนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร ร่วมกันกับพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับนายนุวัฒน์และสารินี สองสามีภรรยาจากคดีเรื่องเงินหลอกจากศิลปินจีน 39 ล้านบาท ในข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงาน จากกรณีที่ไปแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ
และคดีสุดท้ายเป็นคดีในราชอาณาจักรทนายตั้มได้หลอกลวง “เจ๊อ้อย” ว่า ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม the angel ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้างโดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรม 9 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้ว “ทนายตั้ม” ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ทนายตั้ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
ในส่วนผู้ต้องหาใหม่อีก 2 ราย ที่ถูกแจ้งข้อหาทำเอกสารปลอมในกรณีรถเบนซ์ 1.5 ล้านบาทนั้น มีรายงานว่า ทั้งสองคนเป็นพนักงานโชว์รูมรถเบนซ์