svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ตัวแทน DSI ให้ปากคำ ตร. ปม “เอก สายไหมฯ” กล่าวหามีเทวดาคุ้มครอง “ดิไอคอน”

“ผอ.กองกฎหมาย DSI” เข้าให้ปากคำ ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง หลังแจ้งความเอาผิด “เอก สายไหมฯ” ฐานหมิ่นประมาทฯ ปมกล่าวหา "ดีเอสไอ" มี “เทวดา” คุ้มครอง “ดิไอคอน กรุ๊ป”

จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2567 นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ “สายไหมต้องรอด” และนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เดินทางมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า เมื่อประมาณช่วงปี พ.ศ. 2564 ถึง 2565 มีบุคคลซึ่งนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ได้กล่าวใส่ความว่า “เทวดา” ในหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย ซึ่งหมายความรวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ให้ความคุ้มครองดูแล บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี

ตัวแทน DSI ให้ปากคำ ตร. ปม “เอก สายไหมฯ” กล่าวหามีเทวดาคุ้มครอง “ดิไอคอน”

เมื่อบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ได้มีการกระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง และอาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับในเรื่องดังกล่าว และผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีมูลความจริง ปราศจากพยานหลักฐานอ้างอิง ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายโดยตรงได้รับความเสียหาย

ดังนั้น การกระทำของบุคคลดังกล่าวกับพวก อาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงมอบหมายให้ ผอ.กองกฎหมาย ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ดำเนินคดีอาญากับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328

ตัวแทน DSI ให้ปากคำ ตร. ปม “เอก สายไหมฯ” กล่าวหามีเทวดาคุ้มครอง “ดิไอคอน”

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ ( 16 ม.ค.68) เวลา 13.00 น.  ที่ สน.ทุ่งสองห้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอำนวยชัย โฆษิตพานิชยกุล ผอ.กองกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เดินทางเข้าให้ปากคำต่อ ร.ต.ท.ชัยอนันต์ ไชยบุตร รอง สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมยื่นเอกสาร กรณีได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีอาญากับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้มีการนำเอาภาพข่าวที่ปรากฏตามหน้าสื่อทีวีโทรทัศน์มามอบให้พนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจรอให้ทางดีเอสไอทำการถอดเทปการให้สัมภาษณ์ของบุคคลดังกล่าวมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวนอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่ามีใครบ้าง วันนี้จึงถือว่าเป็นการให้ถ้อยคำเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งทางตำรวจจะยังไม่มีการเรียก “นายเอกภพ” เข้าให้ปากคำแต่อย่างใด

และภายหลังการเข้าพบพนักงานสอบสวนประมาณ 30 นาที ทางตัวแทนดีเอสไอ ได้เดินทางออกทางประตูด้านหลัง สน.ไป และกลับอีกครั้ง พร้อมระบุเพียงสั้น ๆ ว่า ตนเองกลับมาส่งหลักฐานเพิ่มให้พนักงานสอบสวน ส่วนในรายละเอียดขอให้ทางโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้ให้ในรายละเอียด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีอาญากับนายเอกภพ และพวก ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงทำให้ทางพนักงานสอบสวนได้เชิญให้เจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ เข้าให้การเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว ตามที่มีการร้องทุกข์ไว้

ส่วนการให้ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ตามกฏหมายแล้ว ทางพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้ตั้งคำถาม เพื่อพิสูจน์องค์ประกอบของการกระทำความผิด ว่ามีการกระทำความผิดตามที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษหรือไม่ และมีพยานหลักฐานอะไรที่จะมาสนับสนุนคำร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งส่วนใหญ่พนักงานสอบสวน จะมีการตั้งประเด็นคำถามเปิด เพื่อให้ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษได้อธิบายชี้แจง

นอกจากนี้ ทางดีเอสไอจะได้มีการเตรียมเอกสาร และพยานหลักฐานอื่นๆ อาทิ คลิปวิดีโอ เป็นต้น เพื่อประกอบคำให้การว่า บุคคลดังกล่าวได้มีการพูดจริงหรือไม่ อย่างไร ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐานที่ดีเอสไอมอบให้ไปพิสูจน์ความผิด และความบริสุทธิ์ พร้อมยืนยันว่า การร้องทุกข์กล่าวโทษของดีเอสไอ ไม่ได้เป็นการฟ้องปิดปากแต่อย่างใด เนื่องด้วยดีเอสไอ ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งพิสูจน์ทราบว่าประเด็นดังกล่าวไม่มีมูลความจริงตามที่มีการกล่าวพาดพิง

รายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุด้วยว่า ในเชิงกฎหมายหากดูองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยหลักแล้วจะตรงกันข้ามกับการติชมโดยสุจริต เพราะการติชมโดยสุจริต คือ การพูดด้วยข้อเท็จจริง หรือข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีหลักฐานรองรับในการพูดนั้น ๆ แต่ถ้าเป็นการพูดที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่จะประกอบการพูด และยังเป็นการพูดที่ทำให้เกิดความเสียหาย ก็อาจจะไม่ใช่การติชมโดยสุจริต จึงอาจเข้าองค์ประกอบฐานหมิ่นประมาทได้