14 มกราคม 2568 ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมตรวจสอบ จับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย รวมถึงชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติอาศัยประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และคณะ สตม. ได้ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กรณีมีกลุ่มคนร้ายลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงชาวญี่ปุ่น เป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกลวงว่าจะได้รับเงินประกันสุขภาพคืน โดยมีรูปแบบการหลอกลวงว่า “เป็นการขอคืนเงินค่ารักษาพยาบาล โดยใช้โทรศัพท์หลอกลวงผู้สูงอายุในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. และ ศปชก.สตม. ได้ทำการเข้าตรวจค้นบ้าน 2 หลัง ในพื้นที่เมืองพัทยา จว.ชลบุรี และจับกุมผู้กระทำความผิดเป็นชายชาวญี่ปุ่น จำนวน 5 คน และยังมีอีก 3 ราย ที่ยังไม่ถูกจับกุม ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรคนต่างด้าวทั้ง 8 คน และขึ้นบัญชีเป็นบุคคลเฝ้าระวัง (Watch List)
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 เวลาประมาณ 22.30 น. เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่งานตรวจคนเข้าเมืองขาออก ด่าน ตม.ทอ.กรุงเทพ บก.ตม.2 ว่าได้ตรวจพบ นาย YU HAMAJI (นามสมติ) อายุ 34 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 3 คน ที่ยังไม่ถูกจับกุมและถูกขึ้นบัญชีบุคคลเฝ้าระวังไว้ จะเดินทางออกจากประเทศไทย
เจ้าหน้าที่บก.สส.สตม. จึงได้ร่วมเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาออก ด่าน ตม.ทอ.กรุงเทพ บก.ตม.2 ควบคุมตัวนาย YU HAMAJI เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ นาย YU HAMAJI เป็นรองหัวหน้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่บริหารจัดการต่าง ๆ ภายในแก๊งและรับคำสั่งจากหัวหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุม
กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1379/2567 ลงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน, เมทิลลีนไอออกซีเมทแอมเฟตามีนหรือยาอี, พาราเมทอกซีเมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต
และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่คอนโดมีเนียมในพื้นที่แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการปิดล้อมตรวจค้นงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติด ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซึ่งเบื้องต้นพบเป็น "กลุ่มนักท่องเที่ยวเพศชาย หนุ่มหล่อกล้ามโต" ทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้น 124 คน พร้อมกับของกลางเป็นสารเสพติดในบริเวณงานปาร์ตี้
ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ในข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.ปอพ. บก.สส.สตม. สืบทราบว่า นายโจวอน ได้หลบหนีมาพักอาศัยกับเพื่อนที่คอนโดย่านแขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จึงได้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์
จนกระทั่งเวลาประมาณ 08.50 น. ของวันที่ 13 ม.ค. 2568 ได้พบคนต่างด้าวซึ่งมีตำหนิรูปพรรณคล้ายกับ นายโจวอน จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางปรากฎว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับ
โดยนายโจวอนให้การยอมรับว่าเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 ได้เข้าร่วมงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติดภายในโรงแรมหรูจริง จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
กก.1 บก.สส.สตม. จับกุม นายเคนเนดี้ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติไนจีเรีย พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (คีตามีน) จำนวน 30 ก้อน น้ำหนักชั่งรวมสิ่งห่อหุ้ม 50 กรัม โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวขยายผล บก.ปส.4 บช.ปสดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมได้ภายในร้านสินค้าในซอยสุขุมวิท 5 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจาก กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีชายชาวต่างชาติผิวสีลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในย่านนานา แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงทำการสืบสวนติดตามดูพฤติการณ์มากว่า 3 เดือน จนชัดเจน จึงได้วางแผนจับกุม
โดยให้สายลับติดต่อขอซื้อยาเสพติด จำนวน 30 กรัม ในราคา 60,000 บาท (กรัมละ 2,000 บาท) โดยนัดหมายส่งมอบภายในร้านสินค้า ในซอยสุขุมวิท 5 แขวงคลองเตยเหนือเขตวัฒนา กรุงเทพฯ พร้อมวางแผนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เข้าไปแฝงกายปะปนกับผู้มาซื้อสิ้นค้าภายในร้านเพื่อเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของสายลับและนายเคนเนดี้ จนกระทั่ง นายเคเนดี้ ได้มาพบกับสายลับตามนัดหมาย
จากนั้นได้ส่งมอบยาเสพติดตามที่ตกลงซื้อขายกันให้กับสายลับ สายลับจึงได้ส่งสัญญานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเข้าทำการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบยาเสพติดของกลางซึ่งบรรจุอยู่ในพลาสติกใส ห่อหุ้มด้วยเทปกาวพลาสติกสีดำจำนวน 30 ก้อน น้ำหนักชั่งรวมสิ่งห่อหุ้ม 50 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในกล่องยาสีฟัน และทำการตรวจค้นตัวนายเคนเนดี้ พบเงินสดที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในมือซ้าย
ต่อมาได้ตรวจค้นห้องพักของนายเคนเนดี้ พบซองพลาสติก และเทปพันสายไฟสีดำ เช่นเดียวกับที่ใช้พันยาเสพติดของกลาง จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง จากการตรวจสอบของกลางด้วยชุดทดสอบสารเสพติดเบื้องต้น ซึ่งใช้สำหรับทดสอบคีตามีน สีของน้ำยาหลังทดสอบเป็นสีม่วงและตกตะกอนสีขาว
สอบถามนายเคนเนดี้ ยอมรับว่ายาเสพติด (คีตามีน) ของกลางดังกล่าวเป็นของตนเอง ซึ่งได้นำมาจำหน่ายให้กับสายลับในราคา 60,000 บาท ตามที่ตกลงซื้อขายกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว
กก.1 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนกรณีได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีกลุ่มชายชาวต่างชาติผิวสี มีพฤติกรรมหลอกลวงขายเม็ดทองคำในราคาถูก ซึ่งเชื่อว่าเป็นเม็ดทองปลอม โดยจะอ้างว่ามีทองคำนำเข้ามาจากแอฟริกาจะขายให้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพราะสามารถนำเข้าประเทศไทยแบบไม่เสียภาษี พร้อมทั้งโชว์เม็ดทองคำจำนวนมาก
จากการตรวจสอบทราบว่า หากมีผู้ใดสนใจซื้อ จะนัดพูดคุยและมอบเม็ดทองคำตัวอย่างซึ่งเป็นทองคำแท้ ให้เหยื่อนำไปตรวจสอบก่อน จากนั้นหากเหยื่อหลงเชื่อตกลงซื้อเม็ดทองดังกล่าว จะนัดพบกันเพื่อซื้อขายเม็ดทองดังกล่าว โดยขายในราคา 55,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านบาท) และมักจะอ้างให้เหยื่อเตรียมเงินสดเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ตามจำนวนที่ตกลงซื้อขายกัน
ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อจะรับเงินสดและส่งเม็ดทองปลอมให้แล้วหลบหนีไป หรือหากเหยื่อเริ่มสงสัยว่าเม็ดทองทั้งหมดเป็นของจริงหรือไม่ จะพยายามหาวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ และสับเปลี่ยนเงินของเหยื่อด้วยเงินปลอมที่เตรียมมาด้วย แล้วหลบหนีไป
จากการสืบสวนทราบว่ามีชายผิวดำซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้หลอกลวง พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมภายในซอยสุขุมวิท 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงได้วางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ จนพบชายผิวดำเป้าหมายมาปรากฎตัว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าคนต่างด้าวดังกล่าว ชื่อ MR.NDILLE (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี สัญชาติดัตซ์
จากการตรวจสอบห้องพักพบกระเป๋าเสื้อผ้าภายในมีถุงบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จำนวน 1 ถุง และพบถุงพลาสติกใสบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 100 กรัมอีก 2 ถุง โดย MR.NDILLE ให้การว่าได้ซื้อเม็ดทองมาจากประเทศจีน โดยเม็ดทองถุงน้ำหนัก 5 กิโลกรัม เป็นเม็ดทองปลอม และเม็ดทองที่บรรจุในถุงพลาสติกถุงละประมาณ 100 กรัมจำนวน 2 ถุง เป็นเม็ดทองจริง 1 ถุง และเป็นเม็ดปลอม 1 ถุง จึงทำการยึดไว้พร้อมด้วยเงินสด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินเยน เงินปอนด์ รวมเป็นเงินประมาณ 117,600 บาท
จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ พบมีการแชตพูดคุย ผ่าน WhatsApp กำลังหลอกเหยื่อเพื่อขายเม็ดทองคำ โดยพบมีภาพได้โชว์เม็ดทองคำจำนวนมากให้ดูและเสนอขายในราคาถูก และมีการให้ตัวอย่างเม็ดทองคำให้ไปตรวจดูก่อนแล้ว
ซึ่งจากการตรวจสอบเป็นเม็ดทองคำแท้ จึงตกลงซื้อ จำนวน 1 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 55,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านบาท) ทั้งนี้ในการซื้อขาย MR.NDILLE จะขอรับเป็นเงินดอลลาร์เท่านั้น และนัดส่งมอบเม็ดทองคำ ที่ห้างสรรพสินค้าในแขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรงเทพฯ จึงได้ติดต่อผู้ที่พูดคุยกับ MR.NDILLEดังกล่าวทราบว่า ได้ตกลงซื้อเม็ดทองจาก MR.NDILLE แล้ว และได้นัดพบกันเพื่อซื้อขาย
โดย MR.NDILLE ได้มากับเพื่อนอีก 3 คน และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจและหาโอกาสในการสับเปลี่ยนเงินดอลลาร์ของปลอมที่กลุ่ม MR.NDILLE เตรียมมา ซึ่งโชคดีที่เหยื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้โวยวายและยกเลิกการซื้อขาย และนอกจากนี้ยังพบข้อมูลการแชทพูดคุยกับเหยื่ออีกหลายคน เพื่อหลอกขายเม็ดทองปลอมดังกล่าว
เบื้องต้น ได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.NDILLE เนื่องจากมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้อื่น เป็นภัยต่อสังคม ทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียง และขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวเตรียมผลักดันกลับประเทศต่อไป โดยระหว่างนี้ ได้ประสานเหยื่อที่เคยถูกหลอก หรือกำลังจะถูกหลอก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และทำการสืบสวนหาผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป