14 ธันวาคม 2567จากกรณีคดีสะเทือนขวัญ สังหารโหด "สจ.โต้ง" นายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ ลูกบุญธรรมของ "โกทร" นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกอบจ.ปราจีนบุรี เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจมุ่งปมความขัดแย้งทางการเมือง ตามข่าวที่เสนอไปก่อนหน้านี้
ช่วงเย็นวันที่ 13 ธ.ค.2567 ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรี พนักงานสอบสวน สภ.อ.ปราจีนบุรี ได้นำตัว 7 ผู้ต้องหา มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลเป็นเวลา 12 วัน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ประกอบด้วย
สำหรับคำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.เวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุได้ยินเสียงอาวุธปืน จำนวนหลายนัด ที่บ้าน ถนนโรมันอุทิศ ต.หน้าเมือง อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี จึงได้ร่วมกันไปตรวจสอบที่บ้านดังกล่าว เมื่อไปถึงบริเวณหน้าบ้านมีลักษณะสามชั้น มีรั้วรอบไว้ทุกด้านเปิดประตูไม่ได้ จึงได้วางกำลังปิดล้อมไว้และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
จากนั้นเมื่อผู้บังคับบัญชาเดินทางมาถึง จึงได้มีการเจรจากับคนที่ดูแลบ้าน เบื้องต้นยินยอมให้เฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจ เข้าไปในบ้านเพื่อตรวจสอบเหตุฯ เมื่อเข้าไปในบริวเณบ้านได้แล้ว พบ "โกทร" นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกอบจ.ปราจีนบุรี ผู้ถูกจับกุมที่ 7 อยู่บริเวณหน้าบ้านนอกตัวบ้าน
เมื่อเข้าไปในตัวบ้านก็พบ นายสิทธิชัย ผู้ถูกจับกุมที่ 5 และ นายภัทรนนท์ ผู้ถูกจับกุมที่ 6 อยู่ที่ห้องโถงชั้นล่าง และ และพบร่าง นายชัยเมศร์ หรือ สจ.โต้ง นอนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้น ปลายเท้าอยู่ตรงบันได และ พบปลอกกระสุนหลายนิดและหลายขนาด อยู่ข้างร่าง โดยนอนหงายปลายเท้าอยู่ที่บันได โดยพบแม็กกาซีนแบบยาวขนาด 9 มม.ตกอยู่หนึ่งอัน ใต้โซฟา และร่องรอยกระสุนปืนที่พื้นใกล้กับร่าง สจ.โต้ง
จากนั้นจึงพากันไปบันไดไปตรวจสอบบริเวณชั้นที่ 2 ของบ้าน พบกับ นายธนศรัณย์ ผู้ถูกจับที่ 1ให้การเบื้องต้นได้ใช้อาวุธปืนพกสั้น ออโตเมติก ขนาด 9 มม.ยิง "สจ.โต้ง"
พบอาวุธปืนยาว ลูกซองขนาด 12 วางอยู่ที่พื้นใกล้กับบันได นายศักดิ์สิทธิ์ หรือตูน ผู้ถูกจับที่ 2 ให้การเบื้องต้นว่า ใช้อาวุธปืนลูกยาวของกลางรายการที่ 2 ที่วางอยู่ที่พื้นยิง สจ.โต้ง ในที่เกิดเหตุ
ทั้งนี้ นายธนศรัณย์ และ นายศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถูกจับกุมที่ 1, 2 ให้การอีกว่าที่ต้องยิงผู้ตายเพราะว่า เกิดทะเลาะกับผู้ตายในที่เกิดเหตุ
บนชั้นสอง พบ นายธนภัทร ผู้ถูกจับที่ 3 และ นายอภิสิทธิ์ ผู้ถูกจับที่ 4 อยู่บริเวณห้องนอนใหญ่ขึ้นบันไดอยู่ทางขวามือของบ้านหลังดังกล่าว จึงควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมที่ 1-4 ไว้
จากนั้นจึงได้รายงานเหตุยิง "สจ.โต้ง" เบื้องต้นให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ พนักงานสอบสวนและพิสูจน์หลักฐานและแพทย์ มาตรวจสถานที่เกิดเหตุฯและชันสูตร เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้นำตัวผู้ถูกจับกุมที่ 1-7 มายัง สภ.เมืองปราจีนบุรี และแจ้งให้กับผู้ถูกจับทราบว่าจะต้องถูกจับกุม ในความผิดฐาน
"ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต"
เนื่องจากคดีมีพฤติการกระทำที่อุกอาจร้ายแรงไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เป็นอันตรายต่อสังคม และเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมที่ 1-7 รู้เห็นเป็นใจ และมีการแบ่งหน้ากันทำ และ มีส่วนร่วมกันในการกระทำผิด โดยผู้ถูกจับกุมที่ 7เป็นเจ้าของบ้าน และนัดหมายให้ผู้ตายมาพบที่บ้านที่เกิดเหตุฯ จึงเชื่อว่า มีการร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ และเกรงว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี หยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรืออาจก่อเหตุร้ายประการอื่นและไม่อาจจะขอหมายจับจากศาลได้ จึงต้องจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1-7 เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี เพื่อดำเนินคดีให้ได้รับโทษตามฎหมาย
นายธนศรัณย์ และ นายศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถูกจับกุมที่ 1, 2 รับว่า ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ส่วนผู้ต้องหาที่ 3-7ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นจึงบันทึกจับกุมตัวและนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปราจีนุนรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมาวันที่ 13 ธ.ค. ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมหรือฐานความผิด รายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีเพิ่มเติมให้ผู้ต้องหาทราบตามที่ได้แจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้ และพนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์และข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้ผู้ต้องหาทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับผู้ต้องหาที่ 7 มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมากจนผู้ตายบอกกับใครๆว่าเป็นลูกบุญธรรมของผู้ต้องหาที่ 7
ต่อมาผู้ตายกับผู้ต้องหาที่ 7 ได้มีการขัดแย้งทางการเมืองกันอย่างรุนแรงเพื่อรับเลือกตั้งเป็นนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้งภายในปี พ.ศ.2567 ที่จะถึงนี้โดยผู้ตายประสงค์จะให้ภรรยาลงรับสมัครเลือกตั้งในตำแหน่งดังกล่าว ส่วนผู้ต้องหาที่ 7 จะส่งบุคคลอื่นลงรับสมัครเลือกตั้งดังกล่าว สร้างความไม่พอใจและทำให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทำให้ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังตัวว่าจะถูกลอบทำร้าย จึงได้มีการตระเตรียมกำลังคน อาวุธและเครื่องกระสุนปืนไว้
ในวันเกิดเหตุวันที่ 11 ธ.ค.2567 ผู้ต้องหาที่ 1-7 ได้วางแผนที่จะฆ่าผู้ตาย โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งจัดเตรียมกำลังคน อาวุธปืนร้ายแรงและเครื่องกระสุนจำนวนมาก จึงนัดหมายให้ผู้ตายมาพบผู้ต้องหาที่ 7 ที่สำนักงานที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านพักที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบผู้ต้องหาที่ 7 ผู้ตายกับพวก จึงได้พากันเดินไปที่บ้านพักของผู้ต้องหาที่ 7 โดยผู้ต้องหาที่ 7 ได้ออกมาพบผู้ตายที่บริเวณหน้าบ้านพัก และได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง โดยระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6ก็ได้หลบซุ่มรอก่อเหตุอยู่ภายในห้องและภายในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ
เมื่อการโต้เถียงกันเสร็จสิ้นลงเหมือนจะทำความเข้าใจระหว่างกันได้แล้ว ผู้ตายจึงได้เข้าไปภายในบ้านพักเพื่อจะไปส่งผู้ต้องหาที่ 7 เข้านอนและพูดคุยกันตามปกติที่เคยทำมาโดยตลอด โดยระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6ได้แบ่งหน้าที่และแบ่งกำลังกัน โดยเตรียมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ก่อเหตุ ได้ดักรอผู้ตายอยู่ภายในห้องพักบนชั้นที่ 2 ของบ้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ต้องหาที่ 5-6รออยู่ที่บริเวณชั้นล่างของบ้านพัก
เมื่อผู้ตายพูดคุยกับผู้ต้องหาที่ 7 เสร็จสิ้นก็ออกจากห้องพักของผู้ต้องหาที่ 7 กำลังเดินลงบันไดเพื่อลงมาที่ชั้นล่าง ระหว่างนั้นผู้ต้องหาที่ 1-6ได้ไข้อาวุธปืนของกลางยิงใส่ผู้ตายหลายนัด จนตกลงมานอนเสียชีวิตที่บริเวณทางขึ้น-ลงบันใด หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปเข้าตรวจสอบในที่เหตุ และจับกุมผู้ต้องหาที่ 1-7 พร้อมตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ปลอกกระสุนปืนปืนจำนวนมากที่ใช้ก่อเหตุ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
พนักงานสอบสวนแจ้งพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานเพิ่มเติมว่า "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต"
ผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาและขอให้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาและได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบแล้ว
ยึดอาวุธคลังแสงย่อมๆ
สำหรับของกลางที่ตรวจยึดได้คือ
การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ,288 ,289(4) พรบ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนฯมาตรา 4,7,8,72,72ทวิ อัตราโทษ ต้องระวางโทษประหารชีวิต
ในชั้นจับกุมเเละสอบสวนผู้ต้องหา1-2ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาที่ 3-7 ให้การปฎิเสธ โดยผู้ร้องยังต้องสอบพยานอีก 6 ปากรอผลตรวจรายนิ้วมือประวัติอาชญกรรมผู้ต้องหา รอผลตรวจพิสูจน์ของกลางจึงขออนุญาตศาลฝากขังครั้งเเรก
ในท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี, ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษสูงกระทำผิดเป็นอุกอาจร้ายแรง อุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญเป็นการกระทำในลักษณะของผู้มีอิทธิพลไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และความสงบเรียบร้อยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี
หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานพยานหลักฐานหรือเหตุร้ายประการอื่นอาจมีการข่มขู่พยาน ทำให้ความเสียหายร้ายแรงต่อการสอบสวนดำเนินคดีโดยผู้เสียหายเเละพยานในคดีก็ขอคัดค้าน เนื่องจาก คดีมีอัตราโทษสูงเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี,ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานด้วย
ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตฝากขังเป็นเวลา 12 วัน โดยภายหลังผู้ต้องหาที่ 3-7 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ส่วนผู้ต้องหาที่ 1-2 ไม่ยื่นคำร้อง โดยคดีนี้มีการตีราคาประกัน 4-8 เเสนบาทต่อคน
ศาลพิจารณาเเล้วไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เนื่องจากพฤติการณ์ตามคำร้องเป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจ เเละเป็นที่สนใจของประชาชน เกรงว่าผู้ต้องหาทั้งหมดจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับผู้เสียหายค้านการประกันตัว หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาเกรงว่าผู้ต้องหาทั้งหมดจะหลบหนี แม้ผู้ต้องหา ที่ 7 มีโรคประจำตัวแต่ พรบ.ราชทัณฑ์ก็ให้อำนาจราชทัณฑ์ อนุญาตให้ไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้ ในชั้นนี้จึงให้ยกคำร้อง ของผู้ต้องหาทั้ง 7
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ไปคุมขังยังเรือนจำระหว่างฝากขังต่อไป
เปิดบทลงโทษ 2 ข้อหา
จากการตรวจสอบจากประมวลกฎหมายอาญา โทษตามกฎหมายในผิดฐานฆ่าคนตาย พบว่า...
ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” องค์ประกอบสำคัญ ผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะทำให้ผู้ที่ถูกฆ่าถึงแก่ความตาย บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี
แต่หากพบว่า เข้าข่าย “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” จะมีองค์กระกอบถึงการใช้ จ้างวานฆ่าผู้อื่น มีการคบคิดวางแผนฆ่าผู้อื่น เตรียมอาวุธเพื่อใช้ในการฆ่า หรือจัดเตรียมยานพาหนะเพื่อใช้ไปฆ่าผู้อื่น มีบทบัญญัติอยู่ในมาตรา 289 (4) ต้องระวางโทษ “ประหารชีวิต”
ขณะที่ “ความผิดฐานมีอาวุธปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ 2490 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดมี ซื้อ ใช้ สั่ง หรือนำเข้าซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี และปรับโทษตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 บาท
ความผิดฐานพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 บัญญัติว่า ห้ามมิให้มีผู้ใดพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็น และเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
หากผู้ใดพกพาโดยเปิดเผย เช่น มีการเหน็บไว้ที่เอากางเกง ซึ่งผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ ต้องรับโทษหนักขึ้น คือมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่หากบุคคลได้รับอนุญาตให้มีอาวุธในครอบครอง แต่พกพาอาวุธปืนโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้มีการพกพาอาวุธปืน ผู้นั้นมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับเกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ